ร่วมกันส่งเสียงทั่วปท. รัฐบาลควรทำอะไร?

สองสื่อใหญ่ ‘มติชน-เดลินิวส์’ ผนึกกันทำโพล โหวตรัฐบาลเศรษฐาควรแก้ปัญหาอะไร เริ่มสแกนได้ตั้งแต่วันที่ 1-30 ต.ค. ในทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ ‘ปราปต์ บุนปาน’ คาดคนหลักแสนร่วมโหวต ชี้เป็นครั้งสำคัญของการส่งเสียงถึงรัฐบาล ด้าน ‘ปารเมศ เหตระกูล’ เสริมโพลสะท้อนปัญหาชาวบ้านแนะรัฐดึงไปใช้เป็นผลบวกให้รัฐ ขณะที่ ‘ผศ.อัครพงษ์’ ชี้โพลเป็นพื้นที่สาธารณะ เป็นปล่องระบายความร้อนระบายความรู้สึก ชวนคนร่วมตอบให้ถล่มทลาย ด้าน ‘ศิโรตม์’ ระบุเป็นโพลตรวจการบ้าน ทำจริงตามที่หาเสียงหรือไม่ ขณะที่ ‘ศ.ดร.อรรถจักร์’ อาจารย์ มช.เชื่อ ‘โพลมติชน-เดลินิวส์’ เพิ่มช่องอื่นๆ ช่วยให้ประชาชนสะท้อนปัญหาถึงรัฐบาลได้ตรงจุด

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่อาคารสำนักงานหนังสือพิมพ์มติชน มีการจัดเสวนาการทำ โพลมติชน X เดลินิวส์ : รัฐบาลเศรษฐาควรแก้ปัญหาอะไร?” มีนายปราปต์ บุนปาน รองกรรมการผู้จัดการสายเทคโนโลยีและดิจิทัลมีเดีย บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) นายปารเมศ เหตระกูล กรรมการบริหารหนังสือพิมพ์เดลินิวส์และเดลินิวส์ออนไลน์ ผศ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ อดีตคณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ดร.ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ และดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สำหรับโพลมติชน X เดลินิวส์ ได้ร่วมมือจัดทำโพลวิเคราะห์ผลการเลือกตั้ง 66 ซึ่งมีประชาชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก สำหรับครั้งนี้ถือเป็นการทำโพลครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้ง ซึ่งหลังจัดตั้งรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงมีคำถามสะท้อนจากสังคมว่ารัฐบาลเศรษฐาควรแก้ปัญหาอะไร

ทั้งนี้ ในช่วงแรกมีการแถลงความคืบหน้าการทำโพลมติชน X เดลินิวส์ โดยนายปราปต์ และนายปารเมศ

นายปราปต์กล่าวว่า โพลมติชน X เดลินิวส์ ได้ทำโพลไปแล้ว 1 ครั้ง ถือว่าเป็นโพลที่ประสบความสำเร็จในการมีส่วนร่วมของผู้อ่าน และตัวชี้วัดผลการเลือกตั้งที่มีความแม่นยำสูงจากกลุ่มตัวอย่างจำนวนมาก ดังนั้น มติชนและเดลินิวส์จึงเห็นพ้องว่าต้องเดินหน้าทำโพลกันต่อ ส่วนโจทย์ของการทำโพลคือ ปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ไข ซึ่งจะเป็นการทำประชาพิจารณ์สะท้อนความรู้สึกคน ปัญหาที่พวกเขาเจอในชีวิตจริง และต้องการให้แก้ไขคืออะไร

นายปราปต์กล่าวอีกว่า เบื้องต้นในการตั้งคำถามของโพลนี้ได้ประมวลชุดปัญหาหลักๆ ที่เราเดาเห็น และประมวลจากชุดนโยบายของพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก และบวกกับนโยบายของพรรคการเมืองอื่นๆ นำมาแมตช์กัน จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ เราจะมีตัวเลือกอื่นๆ ที่ประชาชนสามารถเติมความเห็นลงไปได้เพื่อรับฟังความเห็นจากผู้อ่านอย่างเต็มที่ ซึ่งการเลือกให้แก้ไขระหว่างปัญหาการเมืองกับปัญหาเศรษฐกิจเสมือนเป็นวิวาทะตั้งแต่การเลือกตั้ง หากวัดจากผลเลือกตั้งประชาชนมีแนวโน้มให้แก้ปัญหาโครงสร้างการเมือง แต่เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้วจะกลายเป็นนโยบายการแก้ปัญหาปากท้องไปแทน ดังนั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องรับฟังโพล รัฐบาลจะได้มีความมั่นใจและสามารถปรับตัวนโยบายได้ด้วย

นายปราปต์เปิดเผยว่า ฐานคนของการทำโพล ในแง่จำนวนบวกกับเชิงคุณภาพจะเป็นเสียงที่น่ารับฟัง คราวก่อนจะเป็นความแม่นยำ แต่ครั้งนี้จะเป็นนัยยะสำคัญที่สะท้อนปัญหาของประเทศและประชาชน เป็นช่องสนทนาและการรับฟังความคิดเห็น เชื่อว่าจำนวนของคนตอบโพลจะมีมากถึงหลักแสน








Advertisement

นายปราปต์กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากเชิญชวนคนอ่านและคนดูของเครือมติชน ซึ่งโพลนี้จะเป็นช่องทางหนึ่งที่เราจะส่งเสียงต่อผู้มีอำนาจในภาครัฐ เอกชน นายทุน พวกเขาจะต้องฟังเสียงของประชาชนกันอีกรอบหนึ่ง คราวนี้จะสะท้อนปัญหาจริงๆ ว่ากำลังเผชิญปัญหาคืออะไร อยากให้ผู้มีอำนาจแก้ไขอะไร ซึ่งเป็นครั้งสำคัญของประชาชนที่จะส่งเสียง

โหวตโพล – นายปราปต์ บุนปาน รองกก.ผจก.สายเทคโนโลยีและดิจิทัลมีเดียมติชน, นายปารเมศ เหตระกูล ผู้บริหารเดลินิวส์, ผศ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ อดีตคณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์, ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ร่วมเสวนาการทำโพลมติชน X เดลินิวส์ : รัฐบาลเศรษฐาควรแก้ปัญหาอะไร? เมื่อวันที่ 27 ก.ย.

ด้านนายปารเมศกล่าวว่า การที่เดลินิวส์และมติชนร่วมทำโพลมีความตั้งใจที่จะแปรเปลี่ยนให้เป็นนโยบายที่ทำได้จริงๆ รัฐบาลต้องมองโพลอันนี้ เพราะผู้บริหารส่วนใหญ่มีฐานะประมาณหนึ่ง แต่โพลของเรามาจาก ทุกระดับชั้นส่งเสียงปัญหาที่อยากให้แก้ไข ซึ่งรัฐบาลต้องฟังเสียงประชาชนและจะเป็นผลดีสำหรับประชาชน และสื่อสารมวลชนอย่างพวกเราด้วย เป็นการสื่อสารสองทาง เป็นจุดสำคัญของรัฐบาลที่ต้องมองกลับมาและนำกลับไปวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ของโพลครั้งนี้ มั่นใจว่าจะเป็นผลบวกกับรัฐบาลโดยตรง

นายปารเมศกล่าวอีกว่า โพลที่เราทำเป็นโพลธรรมชาติ ไม่มีการจัดตั้ง เป็นเสียงบริสุทธิ์ของประชาชน ที่แต่ละคนสะท้อนออกมา นั่นคือ ความเป็นจริง ทั้งนี้ อยากเชิญชวนผู้อ่านเดลินิวส์ โพลครั้งนี้เราจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง และนำเสียงของประชาชนขึ้นสู่รัฐบาลโดยตรง อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในครั้งนี้ คิดว่าทั้งภาครัฐ เอกชน นักธุรกิจ สามารถนำไปวิเคราะห์ได้อีกระดับหนึ่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกฝ่ายเป็นอย่างมาก

ต่อมาในช่วงที่สอง มีการเสวนาการทำ โพลมติชน X เดลินิวส์ : รัฐบาลเศรษฐา ควรแก้ปัญหาอะไร?” โดยมี ผศ.อัครพงษ์ ดร.ศิโรตม์ และดร.อรรถจักร์

ผศ.อัครพงษ์กล่าวว่า หลังเลือกตั้งเราไม่ใช่ประชาธิปไตย 3 วินาที การมีโพลอย่างที่มติชน X เดลินิวส์ เป็นหนึ่งในกระบวนการภาคประชาชน เรามอบอำนาจให้รัฐบาล ส่วนรัฐบาลต้องนำอำนาจอธิปไตยของปวงชนไปทำหน้าที่แทนประชาชนทุกคน

ผศ.อัครพงษ์กล่าวอีกว่า ในแง่ของโพลเราทำเพื่อที่จะให้ประชาชนอย่าสิ้นหวังกับรัฐบาล แม้ไม่ใช่รัฐบาลอันดับหนึ่ง แต่ก็เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจ ประชาชนกำลังจับตาสิ่งที่รัฐบาลทำว่ามีอะไรบ้าง และการออกแบบโพลจะเป็นลักษณะกลับหัวกลับหาง เป็นโพลที่พลิกวงการ ที่นำผลแล้วมาดูคำตอบว่าบอกอะไรบ้าง ดังนั้น การทำนโยบายสาธารณะจึงเน้นไปที่ปัญหา ตอนนี้สังคมกำลังถกเถียงกันอยู่ 2 ข้อ คือ เอากินดีอยู่ดีมาก่อน หรือโครงสร้างการเมืองกับอุดมการณ์มาก่อน เหมือนกับไข่กับไก่อะไรเกิดก่อนกัน หรือเหมือนกินข้าวแต่ไม่กินน้ำ เพราะฉะนั้นโพลนี้จะผนวกความต้องการทั้งหมดและสะท้อนเสียงอีกครั้งหนึ่ง

“โพลมติชน X เดลินิวส์ ที่สะท้อนปัญหาของประชาชน ไม่ใช่แค่ช่วยรัฐบาล แต่จะช่วยประชาชนด้วย เหมือนที่คุณปานบัว บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เคยบอกไว้ว่า อย่าปล่อยให้กระบวนการประชาธิปไตยเงียบหาย และประชาชนต้องไม่ผิดหวังกับสิ่งที่เลือกมา ดังนั้น การสะท้อนปัญหาจะส่งผลให้ผู้นำเข้มแข็ง ส่วนประชาชนต้องไม่ละทิ้งรัฐบาลด้วยการส่งเสียงผ่านโพลในครั้งนี้”

ผศ.อัครพงษ์ระบุว่า โพลครั้งนี้สะท้อนปัญหาว่ารัฐบาลเศรษฐาต้องแก้ไขปัญหาอะไรบ้าง นโยบายก็เป็นสินค้าทางการเมือง ดังนั้น ตัวเลือกจึงเน้นไปที่ปัญหาและเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องแก้ปัญหา ทำการบ้าน และดูว่าเลือกเศรษฐาจะได้เป็นเศรษฐีจริงหรือไม่ ดังนั้น อยากให้รัฐบาลมองว่าโพลนี้จะเป็นส่วนเสริมรัฐบาล ขับดันรัฐบาลให้สำเร็จ คนที่ทำโพลนี้ถือว่าเป็นคนที่ตั้งใจจะทำ เพราะต้องใช้เวลา และผลที่ได้ออกมาจะตรงกับสิ่งที่ประชาชนคิด โพลนี้จะเป็นปล่องระบายความร้อนที่จะระบายความรู้สึกและความหวังของประชาชน แต่ไม่ใช่การไปกระทุ้งรัฐบาล แต่เป็นพื้นที่รับฟังและส่งไปยังรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งจะช่วยฟื้นคืนศรัทธาที่มันหายไปและเพิ่มความมั่นใจให้มากขึ้น อีกทั้งโพลนี้ยังมีประโยชน์ให้พรรคการเมืองอื่นๆ นำเป็นนโยบายในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้อีกด้วย

ผศ.อัครพงษ์ระบุอีกว่า กระบวนการทำ โพล คือ ประชาพิจารณ์ของประเทศชาติ ว่าคนต้องการอะไร นับเป็นความสุดยอดของความเป็นประชาธิปไตย เป็นพื้นที่สาธารณะ เป็นพื้นที่ที่รัฐบาลไม่ต้องลงทุนสำรวจ อีกทั้งรัฐบาลยังสามารถนำไปเคลมได้เลยว่าแก้ปัญหาให้แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายไหน ถ้าคุณเอฟของได้ก็สามารถทำโพลนี้ได้ เปิดหน้าแรกให้เลือกระหว่างปัญหาโครงสร้างการเมืองกับปัญหาเศรษฐกิจ หน้า 2 มีการตอบคำถามอีกนิดหน่อย และหน้าสุดท้ายเป็นข้อมูลส่วนตัว เช่น อาชีพ อายุ ตนอยากให้ทุกคนมาถล่มทำโพลเพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า

นายศิโรตม์กล่าวในประเด็นปัญหาการเมืองและการปฏิรูปโครงสร้างการเมืองว่าชุดปัญหาที่โพลได้จัดทำไว้มีความครอบคลุมเพียงพอหรือไม่ และจะสามารถสะท้อนปัญหาถึงรัฐบาลได้หรือไม่ว่า ตนคิดว่าเพียงพอ ปัญหาที่จะพูดจริงๆ มีลักษณะสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ 1.เรื่องที่คนในสังคมกังวล เป็นเรื่องที่คนในสังคมสนใจ และรู้สึกว่ามันจะได้รับการแก้ไขหรือไม่ 2.เรื่องที่รัฐบาลซึ่ง ณ วันนี้เป็นแกนนำจากพรรคเพื่อไทย ได้พูดไว้ในการหาเสียง ฉะนั้น หากถามตนว่าคำถามครอบคลุมหรือไม่ ตนคิดว่าครอบคลุมแล้ว และการครอบคลุมมีนัยยะด้วย เพราะครอบคลุมในเรื่องที่สังคมคาดหวัง และเรื่องซึ่งพรรคการเมืองซึ่งยังไม่ได้เป็นรัฐบาลเคยหาเสียงก่อนเป็นรัฐบาลว่าเขาจะทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ด้วย ซึ่งผลโพลจะตอบเราได้อย่างหนึ่ง คือ รัฐบาลได้ทำสิ่งที่ตัวเองได้หาเสียงเอาไว้หรือเปล่า แล้วเป็นเรื่องซึ่งคนคาดหวังด้วยหรือเปล่า

นายศิโรตม์กล่าวว่า ดังนั้น ตนคิดว่า การจัดทำโพลในครั้งนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องของประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียว ซึ่งประชา ธิปไตยก็สำคัญ เพราะในแง่หนึ่งสิ่งที่มติชนกับเดลินิวส์ทำคือโพลตรวจการบ้านถึงเรื่องที่คุณได้หาเสียงเอาไว้ และเรื่องที่ได้แถลงนโยบายเอาไว้ ปัญหาของรัฐบาลชุดนี้มันมีความประหลาดคือ เรื่องที่หาเสียงกับเรื่องนโยบายเหมือนกัน คนละส่วน แต่โพลนี้จะตรวจการบ้านทั้งสองส่วน คือเรื่องที่หาเสียงไว้เอาอย่างไร แล้วเรื่องนโยบายรัฐบาลเอาอย่างไร ฉะนั้น มันป็นโพลซึ่งในแง่หนึ่งมันคือกลไกของประชาชนในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล

“ประชาชนตรวจสอบรัฐบาลได้ตั้งแต่วันแรก เพราะว่ารัฐบาลอยู่ที่ภาษีของประชาชน ดังนั้น ผมคิดว่าโพลนี้มันมากกว่าเรื่องการเมือง ในแง่การเมืองมันคือตรวจการบ้านรัฐบาล แต่ในแง่ที่มากกว่าเรื่องการเมือง ผมคิดว่ามันคือการดูอารมณ์ของสังคม เขามองรัฐบาลอย่างไร มุมมองที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมือง เสถียรภาพทางการเมืองส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการลงทุน ซึ่งปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการลงทุนส่งผลโดยตรงต่อปัญหาปากท้องหรือปัญหาชีวิตของประชาชน มันเกี่ยวกันหมด” นายศิโรตม์กล่าว

ศ.ดร.อรรถจักร์กล่าวถึง ชุดปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องว่าชุดปัญหาดังกล่าว มีความครอบคลุมและสะท้อนได้ชัดเจนหรือไม่ ว่า ตนคิดว่าครอบคลุมและชัดเจน ความหมายและความสำคัญของการสำรวจความคิดเห็นประชาชนครั้งนี้ของมติชนและเดลินิวส์ในครั้งนี้ มันมีความสำคัญคือ ด้านแรกจะเป็นการสำรวจในจังหวะของความเปลี่ยน แปลงทางสังคม และความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ความรู้สึกที่ประชาชนมีต่อตัวเองและมีต่อรัฐบาล ซึ่งเราจะเห็นร่องรอยของความเปลี่ยนแปลงหรือปรากฏการณ์ของสิ่งที่เรียกว่าประชาชนเปลี่ยนแปลง

“การสำรวจครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การสำรวจเฉพาะเรื่อง เฉพาะหน้า หากแต่เป็นการสำรวจถึงความคาดหวังของสังคม ผมอยากจะใช้คำว่ามันสะท้อนถึง Social Hope หรือความหวังของสังคมอันเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างความเปลี่ยนแปลงของประชาชน สังคม และรัฐบาลใหม่ ฉะนั้นการสำรวจครั้งนี้จึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้รัฐบาลและสังคมได้มองเห็นว่าคนในสังคมไทยจำนวนเป็นแสน กำลังถักสานความหวังกันอย่างไร และการสำรวจครั้งนี้ผมคิดว่าน่าจะทำให้มีผลต่อการตกผลึกของอารมณ์ความรู้สึกของประชาชน หมายถึงคนที่ตอบคำถามเหล่านี้ เขาจะต้องคิดแล้วว่าเป็นอย่างไร” ศ.ดร.อรรถจักร์กล่าว

“ผมคิดว่ามันน่าจะมีมากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่โพลที่จะทำสำรวจความคิดเห็นที่จะทำนี้ ผมคาดหวังว่าจะทำให้เรามองเห็นว่าพี่น้องประชาชนคิดอย่างไรกับระบบเศรษฐกิจ รู้สึกอย่างไรกับระบบเศรษฐกิจที่เขากำลังดำรงอยู่ และเขาคาดหวังว่าทางเดินชีวิตของเขาในระบบเศรษฐกิจแบบนี้ มันจะเดินไปอย่างไร ผมคิดว่าถ้าหากเราได้ ผลโพลออกมาแล้ว ผมเชื่อว่าเราจะมองเห็นตรงนี้ได้ชัดขึ้น และอยากจะย้ำว่าโพลครั้งนี้สำคัญในแง่ที่ว่ามันเป็นการทำให้รัฐบาลและสังคมมองเห็นว่าความหวังของสังคม เขาอยากเดินไปข้างหน้าอย่างไร โพลครั้งนี้จึงถือว่าสำคัญเป็นอิฐเป็นหินก้อนแรกๆ ที่จะวางทางไปสู่การทำให้ประชาชนเป็นพลเมืองผู้กระตือรือร้น” ศ.ดร.อรรถจักร์กล่าว

สำหรับกิจกรรมการทำ “โพลมติชน X เดลินิวส์ : รัฐบาลเศรษฐาควรแก้ปัญหาอะไร?” ครั้งนี้ เป็นการโหวตผ่านช่องทางออนไลน์ทุกแพลตฟอร์มของสื่อเครือมติชนและเดลินิวส์ โดยเปิดโหวตตั้งแต่วันที่ 1- 31 ต.ค.2566

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน