โต้สว.ต้านแจก 1 หมื่น ยันโปร่งใส-ไร้เงินทอน ‘ป้อม’ฟิตสัมมนาพปชร.

‘เศรษฐา’ ปลื้มพบ 2 ผู้นำโลก ‘สี จิ้นผิง-ปูติน’ หารือ 5 เอกชนชั้นนำจีนชื่นมื่น มั่นใจขยายลงทุนเพิ่มในไทย ‘จุลพันธ์’ ลั่นเพื่อไทยลุยสู้แจกเงินดิจิทัล ‘สว.เฉลิมชัย-สมชาย’ แนะเลิกดันทุรัง ระวังซ้ำรอยจำนำข้าว-ยุบพรรค นายกฯ ยันทุกอย่างโปร่งใส ทำแอพฯ ไม่ใช้เงินมาก ท้าบันทึกไว้เลย ‘บิ๊กป้อม’ จ่อตั้ง ‘ปิยะ ต๊ะวิชัย’ เป็นโฆษกพปชร. นำลูกพรรคลงใต้สัมมนาที่ภูเก็ต

ประกบผู้นำจีน – นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ถ่ายภาพกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนและภริยา ระหว่างร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จัดเพื่อเป็นเกียรติ ที่มหาศาลาประชาชน ณ กรุงปักกิ่ง เมื่อค่ำวันที่ 17 ต.ค.

‘นิด’ชวนธุรกิจจีนลงทุนไทย
เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในการเข้าร่วมการประชุมเวที ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Coperration-BRF) ครั้งที่ 3 และการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 16-19 ต.ค.ตามคำเชิญของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของนายหลี่ เฉียง นายกฯ จีน

ตั้งแต่เวลา 09.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น กรุงปักกิ่งซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ช.ม.) ที่โรงแรม Chaina World นายเศรษฐา และนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ ร่วมพูดคุยหารือกับ นักธุรกิจชั้นนำของจีนหลายรายที่เขาเยี่ยมคารวะ เริ่มจาก Mr.Zhu Hexin, Chairman CITIC Group Corporation ซึ่งนายเศรษฐา เชิญชวนให้ CITIC มาร่วมลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ได้แก่ อุตสาหกรรมกลุ่ม BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy (โดยเฉพาะเกษตร อาหาร การแพทย์ และพลังงาน สะอาด) อุตสาหกรรมยานยนต์ (โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (โดยเฉพาะต้นน้ำและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ) อุตสาหกรรมดิจิทัลและสร้างสรรค์ และการส่งเสริมให้ไทย เป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ตลอดจนเชิญชวนให้มาตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาค เพื่อผลักดันประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่

ต่อมาหารือกับ Mr.Yongcai Sun, Chairman and Executive Director, CRRC Group พร้อมชวนตั้งโรงงานในไทย ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง รวมถึงตั้งศูนย์วิจัยพัฒนา ในไทย ควบคู่กับการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อยกระดับและขยายโอกาสให้กับอุตสาหกรรมขั้นสูงของไทยต่อไป, หารือกับ Mr.Xie Yonglin, Executive Director, President, Co-CEO บริษัท Ping An Group เชิญชวนขยายการลงทุนในสาขาประกันภัยที่บริษัทมีศักยภาพ ใช้ประโยชน์จากเฮลท์ แคร์ และเวลล์เนส ของไทย ด้านเอกชนจีนขานรับสนใจพร้อมตั้งกรรมการ่วมศึกษา

จับมือ‘ปูติน’ – นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พบปะหารือกับนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีประเทศรัสเซีย ระหว่างผู้นำ ทั้ง 2 ประเทศเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่อาคารรับรองรัฐบาลจีน เตี้ยวหยูไถ่ กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 17 ต.ค.

พบผู้นำ 2 ชาติมหาอำนาจ
หารือกับ Mr.Alain Lam, Vice President, CFO Xiaomi บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีนวัตกรรมขั้นสูง โดดเด่นในการผลิตโทรศัพท์มือถือ โดย Xiaomi พร้อมขยายการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ในไทย และนำสู่ตลาดโลก, หารือ Mr.Fan Jiang, CEO บริษัท Alibaba International Digital commerce Group บริษัทอี-คอมเมิร์ซ รายใหญ่ ซึ่ง Alibaba พร้อมขยายความร่วมมือการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัล โลจิสติกส์ และคลาวด์ เซอร์วิส ในไทย รวมทั้งขยายผลิตภัณฑ์ ทราเวล แพลตฟอร์ม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของสองประทศด้วย

นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ว่า จากการพบปะพูดคุยทั้ง 5 บริษัท ประสบความสำเร็จดี และเข้าใจในเจตนารมณ์ของประเทศไทยดีขึ้นว่าการที่เรามา One Belt One Road นี้เพื่อ ชี้แจงเรื่องโลจิสติกส์ ที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทยในอนาคต รวมทั้งมีโอกาสพูดคุยแผนอนาคตที่จะขยายในเรื่องแลนด์บริดจ์ รวมทั้งจุดโน้มน้าวที่จะให้เขาเข้ามาลงทุน โดยมีมาตรการด้านภาษีมาสนับสนุนด้วย ซึ่งทุกคนดีใจและกระตือรือร้นที่จะเข้ามาทำธุรกิจมากขึ้น เพราะประเทศไทยได้เปิดแล้ว

เวลา 16.30 น. ที่ Reception Hall มหาศาลา ประชาชน นายเศรษฐาเปิดเผยหลังหารือกับนายจ้าว เล่อจี้ ประธานสภาประชาชนแห่งชาติสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า นายจ้าว เป็นบุคคลที่มีความสำคัญลำดับ 3 ของประเทศจีน รองจากประธานาธิบดี

เวลา 18.30 น.ที่เรือนรับรอง เตี้ยวหยูไถ่ กรุงปักกิ่ง นายเศรษฐาหารือทวิภาคีกับนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย เกี่ยวกับความร่วมมือที่สำคัญร่วมกัน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นควรเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกันมากขึ้น และนายกฯ ได้เชิญนายปูติน เยือนประเทศไทยด้วย

จากนั้น นายเศรษฐาเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองอาหารค่ำกับผู้นำ 23 ประเทศ โดย นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนและภริยา เป็นเจ้าภาพ ที่มหาศาลาประชาชน และได้พูดคุยกับนายสี จิ้นผิง ในงานด้วย

‘พีระพันธุ์’ลั่นลดเบนซิน 2.50 บ.
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมร่วมกับสภาองค์กรของผู้บริโภค และเครือข่ายขับเคลื่อนค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมว่า ได้มีการแลกเปลี่ยนกัน และได้รับข้อมูลที่ตรงกับที่ตนทราบอยู่แล้ว ซึ่งตนมีการอัพเดตความคืบหน้าในสิ่งที่ตนได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว ตนพูดเสมอว่าพลังงานไม่ใช่เรื่องธุรกิจ พลังงานคือเรื่องความมั่นคงของประเทศ เป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงของการดำรงชีวิตคน แต่ก็ห้าม ไม่ได้ หากผู้ประกอบการ นักลงทุน เข้ามาค้าขาย ทำธุรกิจ เกี่ยวกับพลังงาน น้ำมัน ฉะนั้น เรามีหน้าที่ทำให้อยู่ในความเหมาะสมพอดี ไม่ใช่ให้ผู้ประกอบการได้กำไรมหาศาล แล้วชาวบ้านอยู่ไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีข้อเสนอเพิ่มเติมมาตรการลดราคาน้ำมันเบนซินที่กระทรวงพลังงานได้เสนอไป นายพีระพันธุ์กล่าวว่า จะทำให้ได้ตามที่พูด แต่ในการพิจารณาไม่ได้อยู่ที่กระทรวงพลังงานกระทรวงเดียว เป็นนโยบายของรัฐบาลและนายกฯ ด้วย ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกัน จึงยังไม่อยากพูด จะพยายามทำให้ได้ ไม่น้อยกว่าน้ำมันดีเซล แต่หากจำเป็นหรือ ไม่ถึง ต้องขอโทษ จะพยายามทำให้ได้ตัวเลขเดิม 2.50 บาทต่อลิตร จะทำให้เสร็จก่อน ปีใหม่ จะพยายามทำให้ของขวัญ แต่ไม่ใช่การลดราคาน้ำมันเบนซินทุกชนิด จะเลือกตัวที่ต่ำที่สุดสำหรับผู้บริโภคที่เป็นประชาชนทั่วไป โดยจะเน้นไปที่น้ำมันเบนซิน 91

หนุน 1 หมื่น – กลุ่มรวมพลคนเอาเงินหมื่น ให้กำลังใจนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง พร้อมร้องเพลง “คนจนมีสิทธิ์มั้ยคะ คนจนมีสิทธิ์มั้ยคะ เงินหมื่นจะได้สักที เพราะมีหนี้นะคะ” สนับสนุนให้เดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ที่พรรคเพื่อไทย

พท.ลุยสู้แจกเงินดิจิทัล
ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) กลุ่มรวมพลคน เอาเงินหมื่น นำโดยนายยุทธศักดิ์ ชูประเสริฐ อดีตผู้สมัคร สส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย มามอบเสื้อที่มีข้อความว่า “ประชาชนสนับสนุน 10,000 บาท ดิจิทัลวอลเล็ต” ให้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง พร้อมร้องเพลง “คนจนมีสิทธิ์มั้ยคะ คนจนมีสิทธิ์มั้ยคะ เงินหมื่นจะได้สักที เพราะมีหนี้นะคะ” เพื่อสนับสนุนให้พรรคเพื่อไทยเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ให้ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป

นายจุลพันธ์กล่าวว่า จริงๆ ไม่ว่าจะสนับสนุนหรือคัดค้านเราพร้อมรับฟัง ส่วนตัวไม่แปลกใจที่มีเสียงคัดค้าน เพราะทุกนโยบายรัฐบาลที่ทำมา มีทั้งค้านและสนับสนุน ที่นายกฯ บอกให้ประชาชนสะท้อนเสียงมานั้น ไม่ได้ต้องการให้เกิดความแตกแยก แต่เพื่อต้องการรับฟังเสียงของประชาชนให้รอบด้าน เพราะเรามาจากประชาชน เห็นความลำบากของประชาชน เมื่อเราเข้ามาจึงต้องการให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศไทย โตขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% เป็นอย่างน้อย

“ผมฟังเสียงทุกเสียง ทั้งความเป็นห่วง เม็ดเงินไปลงที่คนรวยแล้วจะใช้หรือไม่ วันนี้เรา คิดว่าจะมาตัดในส่วนของคนรวยออกหรือไม่ เราคิดจริงๆ ถ้าไม่ได้รับฟังเสียงของประชาชน ดีไม่ดีจะตัดไปเรื่อยๆ แต่เมื่อฟังเสียงวันนี้ชัดเจนทุกคนยังรออยู่ ในฐานะที่เป็นรัฐบาลและได้รับมอบหมายจากนายกฯ ให้ดำเนินการเรื่องนี้ ยืนยันว่าเราสู้ และจะสนับสนุนนโยบายนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้” นายจุลพันธ์กล่าว

‘สว.เฉลิมชัย’ชี้ส่อขัดรธน.
เวลา 10.45 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณารายงานสรุปผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ประจำปี 2565

นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน สว.อภิปรายว่า พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต คนละ 10,000 บาท และมีผู้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.) แล้ว แต่ได้รับคำตอบมาว่าไม่ผิด เนื่องมาจากเป็นเงินงบประมาณของรัฐ ไม่ใช่เงินส่วนตัว การที่ กกต.ตอบแบบนี้ เป็นการติดกระดุมเม็ดแรกที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เนื่องจาก กกต.ไม่ได้นำกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณา

ปัจจุบันไทยมีหนี้สาธารณะและหนี้ ครัวเรือนสูง จึงไม่รู้ว่า กกต.ให้หลักเกณฑ์ใดมาตัดสินว่าหากใช้งบประมาณของรัฐแจกแล้วไม่มีความผิด และตอนนี้ไม่มีความชัดเจนว่าจะนำงบประมาณมาจากไหน และเห็นว่าน่าจะไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหาว่า กกต.จงใจปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 234 และ 235 ได้

แกนนำพรรคเพื่อไทยทำผิดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ตั้งแต่วันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพราะไม่ได้ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่าย ปัจจุบันก็ยังไม่มีการชี้แจง สุ่มเสี่ยงขัดต่อการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ และครม. ต้องไม่บริหารโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ ของประเทศและประชาชน รัฐบาลได้ออกข่าวมาโดยตลอดว่าจะไม่ใช้งบประมาณ จะ ไม่กู้ แต่จะใช้มาตรา 28 ของ พ.ร.บ.การเงินการคลังของรัฐ คือมอบหมายให้ธนาคารออมสินจ่ายงบประมาณไปก่อนในโครงการนี้ แต่โครงการดังกล่าวไม่ได้อยู่ในหน้าที่ อำนาจ และขอบเขตวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งธนาคารออมสิน และหากบังคับผู้อำนวยการธนาคารออมสินมากๆ ท่านอาจจะลาออกได้ เนื่องจากท่านกลัวจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

แฉเสียต๋ง-ซูเปอร์แอพ 4.8 หมื่นล.
นายกฯ ยังให้ข่าวอย่างต่อเนื่องว่า ในวันที่ 1 ก.พ.2567 เงินดิจิทัลจะเข้าสู่ระบบ และประชาชนทุกคนจะได้เงิน แต่จะเอาเงินมา จากไหน ในเมื่อปฏิทินงบประมาณปี 2567 จะออกในเดือน เม.ย.2567 แสดงว่า ครม.ต้องใช้วิธีกู้เงินจากธนาคารของรัฐ หรือธนาคารออมสิน แต่เงินกู้ที่ได้มาต้องเป็นเงินแผ่นดินเช่นกัน จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด มีหลายหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบโครงการนี้ได้ ทั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่มีผู้ไปร้องแล้ว เช่นเดียวกับ ป.ป.ช.ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบโครงการนี้โดยตรง รัฐบาลจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

สรุปแล้วโครงการเงินดิจิทัลมีข้อสงสัยมากมายคือ จะนำเงินงบประมาณมาจากไหน 5.6 แสนล้านบาท ทำไมไม่จ่ายเป็นเงินสดเข้าบัญชีธนาคารโดยตรง ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมแลกเหรียญดิจิทัลกลับไปกลับมา 6% อีก 33,600 ล้านบาท ค่าจ้างทำโปรแกรมบล็อกเชนอีกกว่า 12,000 ล้านบาท กรณีดังกล่าวหากเกิดเงินเฟ้อ สินค้าแพงขึ้น หนี้สาธารณะจะเพิ่มอีกเท่าใด จริงหรือที่การแจกเงินจะทำให้ระบบเศรษฐกิจหมุน 3 รอบ และได้ถาม พรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ว่าเห็นด้วย การที่ นายกฯ ไป จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 14 ต.ค. แล้วปลุกระดมให้ชาวพิษณุโลกคัดค้านคนที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการเงินดิจิทัล ถือเป็น การพูดให้ประชาชนขัดแย้งแตกแยกกันเอง หรือไม่ เหตุใดพรรคเพื่อไทยไม่คิดวิเคราะห์ผลกระทบและความเสี่ยงให้รอบคอบรอบด้านก่อนจะออกมาเป็นนโยบายหาเสียง เพื่อให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ

“ดังนั้น กกต.ต้องกำหนดกลไกความ รับผิดชอบของพรรคการเมืองในการประกาศโฆษณานโยบายที่ไม่ได้วิเคราะห์ผลกระทบของความคุ้มค่าและความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง ให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม เพื่อ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการแจกเงินดิจิทัล เป็นการสัญญาว่าจะให้อย่างเห็นได้ชัด เป็นการซื้อเสียง ล่วงหน้า แต่ กกต.กลับตีความว่าไม่ผิด จึงหวังว่า กกต.คงไม่ปล่อยนโยบายแบบนี้ออกมาอีกในการเลือกตั้งอีก 4 ปีข้างหน้า แต่ผมไม่ได้ไม่ให้ทำ ท่านจะทำก็ทำไป แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย และรับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะ ของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายด้วย ก็จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม” นายเฉลิมชัยกล่าว

‘สมชาย’ถามใครได้ประโยชน์
นายสมชาย แสวงการ สว.กล่าวว่า สิ่งที่ นายเศรษฐาสัญญาไว้ว่า เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยก็จริง แต่ต้องรับฟังความเห็นต่างจากนักเศรษฐศาสตร์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อดีตรมว.คลัง และ นักวิชาการ เท่าที่ทราบยังไม่มีเสียงของคน กลุ่มนี้ ออกมาสนับสนุนโครงการดังกล่าวว่าจะได้คุ้มเสียอย่างไร สิ่งที่ทุกคนออกมาเตือนคือจะเกิดหายนะทางการเงิน เป็นอันตรายอย่างยิ่ง แต่ยังไม่เคยได้ยินเสียงชี้แจงจากรัฐบาลเลย

ตนตั้งคำถามกับโครงการนี้เยอะ ทั้งแหล่งเงิน เพราะข้อเท็จจริงคือเราไม่มีเงินแล้ว จะหาเงินตรงนี้มาจากไหน ทำไมถึงไม่แจกเงินสด อย่างตรงไปตรงมา ทำไมจะต้องแจกทุกคน เศรษฐี มหาเศรษฐี คนชั้นกลาง ข้าราชการ สส. สว. นักเล่นหุ้น 3 ล้านกว่าคน รับเงินตรงนี้ด้วยหรือ ถูกต้องหรือไม่ เพราะรัฐบาลเคยประกาศว่า จะแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ แต่โครงการแจกเงินดิจิทัล ไม่ใช่ เพราะการแก้ปัญหาความยากจนต้องแก้แบบพุ่งเป้าไปกลุ่มที่ต้องการ สิ่งที่สำคัญ คือ ทำไมต้องสร้างบล็อกเชนใหม่ ทำไมไม่ใช้แอพพลิเคชั่นที่มีอยู่แล้ว หรือมีอะไรซ่อนอยู่ เพราะมีรายงานว่า การทำ “Super App” ต้องใช้เงินอย่างน้อย 12,000-20,000 ล้านบาท

รัฐบาลต้องตอบให้ได้ว่า บล็อกเชน ใครเป็นคนคุม เม็ดเงินสุดท้ายที่จะเบิกออกมา ใช่มาเฟียทุนเทาหรือไม่ ใช่คนที่มีผลประโยชน์จากแอพดิจิตอลเหล่านี้หรือไม่ เท่าที่ทราบ ตอนนี้ราคารับซื้อ 10,000 บาท เอาเงินสด 7,000 บาท และอาจมีมาเฟียที่ทำเกี่ยวกับพนันออนไลน์ แปลงเงินดำเป็นขาวเข้ามาซื้อ แล้วมาเบิกกับรัฐ ซึ่งตรงนี้มีมูลค่าเป็นแสนล้านบาท

แนะเลิกดันทุรัง
โครงการนี้ไม่ต่างอะไรจากโครงการรับจำนำข้าว ดังนั้นกกต.ควรย้อนกลับไปดูนโยบายของพรรคเพื่อไทย เรื่องเงิน 10,000 บาทให้ชัดเจน ว่าใช้เงินอะไร เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้หรือไม่ หากเข้าข่ายอาจกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง นำไปสู่การร้องดำเนินคดียุบพรรคเพื่อไทยได้ เท่าที่ทราบตอนนี้ ป.ป.ช. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และกกต. ตั้งกรรมการติดตามเรื่องนี้แล้ว

ยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล เราศึกษาและตรวจสอบแล้ว ถ้าบอกตอนนี้ได้คือเลิกเถอะ อย่าดันทุรังเรื่องนี้ หยุดโครงการนี้แล้วเอา 5.6 แสนล้านบาท ที่ท่านจะใช้ และตั้งไว้แล้วให้คิดใหม่ว่าจะทำอะไรให้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ เราจะเห็นด้วยกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผู้ที่มีความรู้ออกมาคัดค้านอาจจะจำนวนน้อย แต่เป็นการค้านแบบสร้างสรรค์ นำเสนอด้วยความหวังดี เหมือนพระชวนไปทำบุญ 1 องค์ กับ 10 คนที่ชวนไปปล้น ท่านจะฟังใคร

“สิ่งที่รัฐบาลไม่ได้บอกประชาชนให้ชัดเจนคือหากเกิดความเสียหายขึ้นจะทำอย่างไร เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เคย ได้รับความรับผิดชอบ บางคนก็หนีคดีไป ต่างประเทศ บทเรียนตรงนี้เป็นบทเรียน ที่ต้องคิดให้ดี และโครงการนี้พรรคเพื่อไทย หวังผลการเลือกตั้งแน่นอน โดยเฉพาะเด็ก อายุ 16 ที่จะมีสิทธิ์ได้เลือกตั้งในอนาคต” นายสมชายกล่าว

นายกฯโต้ข้ามประเทศ
ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ว่า ยืนยันการทำแอพพลิเคชั่น รองรับการแจกเงินดิจิทัล ไม่มีเรื่องค่าคอมมิชชั่น ไม่มีการหักเบี้ยบ้ายรายทาง หรือถูกหักเงิน 3% และไม่มีการจ้างเป็น หมื่นล้านบาทอย่างที่กล่าวหา แต่ตัวเลข น้อยมาก และไม่ใช่ประเด็นแน่นอน ส่วนที่มีการกล่าวหาว่าเป็นการจ้างบริษัทในเครือข่ายของตนนั้น ขอให้ระบุชื่อมาให้ชัด เพราะ แสนสิริไม่ได้ทำแอพฯ แน่นอน ส่วน บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG ที่ตนเคยเป็นกรรมการอยู่ ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน ขอให้บันทึกว่าสองบริษัทดังกล่าวไม่ได้เข้ามารับงาน

ผู้สื่อข่าวถามว่า การกล่าวหาลักษณะนี้เหมือนเป็นการจงใจมากเกินไปหรือไม่ นายเศรษฐากล่าววว่า ไม่เป็นไร เพราะตนเป็นบุคคลสาธารณะต้องพร้อมสำหรับการชี้แจงและตรวจสอบได้ มั่นใจว่านโยบายนี้เป็นนโยบายที่ดี ส่งผลกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม และให้ประโยชน์กับประชาชน เรามั่นใจในความโปร่งใสของนโยบายนี้

ต่อข้อถามว่า นายกฯ มั่นใจในข้อมูล แต่เหตุใดจึงไม่เลือกชี้แจงให้สังคมเข้าใจ นายเศรษฐากล่าวว่า อยากให้คณะกรรมการศึกษาเงินดิจิทัล ซึ่งประกอบด้วยผู้ชำนาญการจากหลายฝ่าย มีข้าราชการระดับสูง ซึ่งเห็นตรงและเห็นต่างกันบ้าง มีข้อแนะนำต่างๆ ได้มีสิทธิ์พูด เพราะเรามีคณะกรรมการกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วน ขอเวลาให้ได้ถกกันให้ดี ซึ่งต้องให้เกียรติกรรมการทุกคน ส่วนการชี้แจงอาจจะช้าก็น้อมรับ ไม่อยากพูดอะไรเร็วเกินไป แต่หากมีประเด็นขึ้นมาตนพร้อมชี้แจง เชื่อมั่นว่าหากทุกอย่างมีความพร้อม จะทำให้หมดสงสัย ยืนยันว่าทุกๆ ข้อสงสัย ทุกๆ คำแนะนำ จะถูกนำไปพิจารณาและปรับปรุงเพื่อให้เป็นนโยบายที่ดีที่สุด ปราศจากเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบ ส่วนความชัดเจนจะเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ประกาศไว้

ยันไม่ได้ลุอำนาจตั้งผบ.ตร.
นายเศรษฐากล่าวถึงกรณีที่ นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ยื่นเรื่องต่อป.ป.ช.เพื่อไต่สวนชี้มูลความผิดกรณีการฝ่าฝืนจริยธรรมนักการเมือง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 219 แต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)โดยมิชอบว่า เชื่อว่าการตัดสินใจของตนในวันนั้นตั้งอยู่บนบรรทัดฐานของความยุติธรรม ไม่ได้ลุด้วยอำนาจ และได้ตามรัฐธรรมนูญไทยทุกประการ และในวันที่เข้าประชุมได้มีการเสนอ 4 ชื่อขึ้นมาเพื่อพิจารณา แสดงว่าทั้ง 4 ท่านมีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือก และคุณสมบัติในการพิจารณาคือเรื่องอาวุโส เรื่องความรู้ความสามารถและความเหมาะสม ตรงนี้ได้ให้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวางทุกท่านได้มีการอภิปรายกันอย่างไม่มีการจำกัด ได้พูดคุยกันและโหวตกันอย่างถูกต้องตรงไปตรงมา แล้ววันนั้นผลที่ออกมาคือ 9-0-2 หมายถึง 9 คะแนน คือผู้ที่สนับสนุนเห็นด้วย 0 คือ ไม่มีใครปฏิเสธ และ 2 คือการยกเว้นออกเสียง มั่นใจว่าการกระทำของตนวันนั้นทำด้วยความชอบธรรม ไม่ได้ลุด้วยอำนาจ

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการระบุด้วยว่าการ แต่งตั้งผบ.ตร. มี 2 ก.ตร. คือ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง และนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ซึ่ง เป็นกรรมการสอบสวนกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกค้นบ้านพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. นายเศรษฐากล่าวว่า ได้มีการเช็กกับฝ่ายกฎหมายแล้วว่าแม้ทั้งสองท่านจะอยู่ในคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการปฏิบัติหน้าที่ ยืนยันว่าได้ตรวจสอบมาอย่างดีแล้ว พร้อมที่จะชี้แจง

‘ป้อม’จ่อตั้ง‘บิ๊กต๊ะ’โฆษกพปชร.
ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์หลังเป็นประธานประชุมสส.พรรค ประจำสัปดาห์ ถึงการเปลี่ยน ทีมโฆษกพรรคชุดใหม่ว่า การประชุมสส. พรรควันนี้ ยังไม่มีวาระการแต่งตั้งโฆษกพรรคคนใหม่ เนื่องจาก พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย อดีต ผบช.ภ.5 ยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งราชการอื่น จึงต้องเลื่อนออกไปก่อน ส่วนเหรัญญิกพรรค ยังไม่ต้องเลือกใหม่ ให้พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค ปฏิบัติหน้าที่ไปก่อน สำหรับการประชุมสัมมนาพรรควันที่ 20-21 ต.ค.นี้ ที่ จ.ภูเก็ต คงไม่มีวาระอะไรเป็นพิเศษ เพราะ สส.รู้จักกันทั้งหมด ผู้สื่อข่าวถามว่าได้พบ กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ บ้างหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ไม่ตอบ เมื่อถามว่ามีแผนเดินทางไปพักผ่อนต่างประเทศ บ้างหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ยัง เพราะตอนนี้พรรคยังไม่เรียบร้อย

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ให้สัมภาษณ์หลังเข้าพบพล.อ.ประวิตรว่า พล.อ.ประวิตรได้เชิญมาพูดคุยเรื่องขอบเขตงาน ตำแหน่งที่มอบหมายคือ โฆษกพรรค แต่ขณะนี้ตนดำรงตำแหน่งเป็นราชองครักษ์พิเศษ คงต้องดำเนินการทางธุรการและกราบบังคมทูลขอพระราชวินิจฉัย เพื่อขอมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เมื่อมีพระราชวินิจฉัยหรือโปรดเกล้าฯ มาแล้ว ตนจะมาดำรงตำแหน่งโฆษกพรรค อย่างเป็นทางการ และดำเนินงานที่พรรค ยังทำค้างอยู่ ทั้งปัญหาโลกร้อน การแก้ไข หนี้สิน การสานต่อมรดกโลกที่ขณะนี้มี หลายเรื่องที่ได้ส่งต่อไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) แล้ว โดยพล.อ.ประวิตร มีแนวคิดจะเพิ่มมูลค่าให้กับมรดกโลกเหล่านี้ให้เป็นสมบัติของประเทศ เป็นสถานที่ท่องเที่ยว สร้างมูลค่าให้กับชุมชน ซึ่งมรดกโลกหลายแห่งอยู่ภายใต้การดูแลของทส.และกระทรวงวัฒนธรรม

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตัดสินใจอย่างไรที่เข้าสู่วงการการเมือง หลังเกษียณอายุราชการ พล.ต.ท.ปิยะกล่าวว่า เป็นตำแหน่งที่สามารถช่วยเหลือประเทศชาติได้ และพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่ก้าวข้ามความขัดแย้ง ที่สำคัญ อยู่เคียงข้างชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชน

‘อ้วน’ย้ำไทม์ไลน์ทำประชามติ
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ประธานคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่าง ในเรื่องธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 เปิดเผยว่า ตนได้รายงานให้ที่ประชุมคณะกรรมการรับทราบถึงการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะ คือคณะอนุกรรมการรับฟังความเห็นฯ และคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางฯ เพื่อดำเนินการศึกษาแนวทางให้เป็นไปตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ อย่างช้าทำประชามติในไตรมาสแรกของปี 2567 จากนั้นเสนอให้ครม.เห็นชอบ ก่อนจัดส่งให้กกต.เพื่อดำเนินการต่อไป

ส่วนจะจัดทำประชามติกี่ครั้งนั้นขณะนี้มีหลายความคิดเห็น บางคนบอกให้ทำ 2 ครั้ง บางคนบอกว่าถ้าดูตามศาลรัฐธรรมนูญต้องทำ 3 ครั้ง หรือบางคนอาจตีความอย่างอื่น แต่สิ่งสำคัญคือต้องพยายามทำโดยไม่ให้มีใครนำไปร้องศาลรัฐธรรมนูญและทำให้ตีตกไปอีก และการดำเนินงานต้องสอดรับกับแนวทางของศาลรัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวถามว่าเพื่อให้เกิดความชัดเจน ควรสอบถามศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า หากยื่นศาลรัฐธรรมนูญไม่น่าจะมีผลอะไร เพราะเรื่องยังไม่เกิด ศาลอาจไม่รับเรื่อง จะเสียเวลาเปล่า ดังนั้นต้องศึกษาให้ชัดเจน แล้วจะเป็นอย่างไรค่อยยื่น หากอยู่ในระหว่างดำเนินการแล้วมีคนไปยื่น ศาลจะพิจารณา เมื่อถามว่าการศึกษาการทำประชามติ หากจะทำให้เกิดความมั่นใจว่าจะผ่านไปได้ต้องสอบถามจากใคร นายภูมิธรรมกล่าวว่า แนวทางที่คณะกรรมการดำเนินการมาจากหลายฝ่าย มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องกฎหมายหลายส่วนจะเป็นคนพิจารณาว่าทำอย่างไร ที่จะตีความได้เซฟที่สุดและดำเนินการได้

‘นิกร’ลั่นจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
นายนิกร จำนง กรรมการและโฆษกคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ผมได้รับการ แต่งตั้งให้เป็นประธานอนุกรรมการ ใน “คณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560” และเป็นอนุกรรมการ ใน “คณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560”

ผมรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจที่ได้รับความ ไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญนี้ในทั้ง 2 คณะอนุกรรมการ ผมตั้งใจกับตัวเองว่าจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด ร่วมกับคณะกรรมการ โดยเฉพาะการรับฟังความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ ของกลุ่มประชาชน มาประกอบกันเพื่อนำเสนอไปสู่การทำประชามติที่ชัดเจนถูกต้องเพื่อ ให้เกิดการจัดทำรัฐธรรมนูญของประชาชนฉบับที่สองในประวัติศาสตร์ของชาติไทยให้ตามนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลชุดนี้แถลงเป็นคำมั่นสัญญาไว้ต่อประชาชนให้จงได้

ก.ก.ชี้ตั๋วรถไฟฟ้า 20 บ.ยังไม่สำเร็จ
นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชี รายชื่อ พรรคก้าวไกล(ก.ก.) กล่าวถึงกรณีมติครม.ปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสาย สีม่วง จาก 14-42 บาท เป็น 14-20 บาท และสาย สีแดงจาก 12-42 บาท เป็น 12-20 บาท เมื่อ 16 ต.ค. ว่า การปรับลดดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องใหม่และ ยังไม่ใช่ข้อบ่งชี้ว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ตามที่รัฐบาลเคยหาเสียง ดำเนินการสำเร็จแล้ว เพราะตัวชี้วัดที่แท้จริงอยู่ที่รถไฟฟ้า สายสีเขียวและสายสีส้ม มติครม.ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการขาดทุนของทั้ง 2 สายที่ขาดทุนอยู่แล้ว ให้ขาดทุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณปีละ 267 ล้านบาท แต่ถือว่าไม่มาก เนื่องจาก 2 สายนี้ไม่ค่อยมีผู้ใช้บริการ

สิ่งที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยคาดหวัง จากการดำเนินนโยบาย 20 บาทตลอดสาย คือการนำมาใช้กับสายสีเขียวและสายสีน้ำเงิน เพราะมีผู้ใช้บริการจำนวนมากที่สุด รวมถึงการทำให้เป็นระบบ “ค่าโดยสารร่วม” กรณีเดินทางข้ามสายและข้ามบริษัทผู้ให้บริการ เช่น ขึ้นสายสีเขียวแล้วไปต่อสายสีน้ำเงิน ให้ค่าโดยสารร่วมสูงสุดไม่เกิน 20 บาท ตลอดเส้นทาง ประเด็นนี้รมว.คมนาคม เคยกล่าวไว้ว่าขอเวลา 2 ปีจะดำเนินการให้แล้วเสร็จตามที่หาเสียงไว้

สิ่งสำคัญที่สังคมควรจับตาคือกรณีสาย สีเขียวและสายสีส้ม ซึ่งมีความพัวพันกับ ผลประโยชน์มหาศาลและเป็นปัญหาที่ค้างคามายาวนาน เพราะ 2 สายนี้คือแกนหลัก สายสีเขียวในแนวเหนือ-ใต้ และสายสีส้ม ในแนวตะวันตก-ตะวันออก ที่รถไฟฟ้าแทบทุกสายต้องไปเชื่อมต่อ

ดังนั้น ตัวชี้วัดความสำเร็จของนโยบาย 20 บาทตลอดสายจึงอยู่ที่การแก้ปัญหาสาย สีเขียวและสายสีส้ม ว่าจะเจรจากำหนดโครงสร้างค่าโดยสารร่วม 20 บาทตลอดทางได้จริงตามที่หาเสียงไว้หรือไม่

‘เรืองไกร’ร้องปปช.สอบ 5 สส.
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า วันที่ 17 ต.ค.ได้ส่งหนังสือถึงป.ป.ช.เพื่อขอให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของสส. 5 คน แจ้งการถือครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายหรือมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่ 1.นายจักพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ สส.ประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช. กรณีพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ วันที่ 20 มี.ค.66 ว่ามีที่ดินรวม 43 แปลง รวมมูลค่า 94,140,640 บาท โดยรายการที่ 6 เป็นที่ดิน ส.ป.ก. เลขที่ 513 ต.หนองตาแต้ม เนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 73 ตารางวา แต่ไม่แจ้งมูลค่า และยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งสส. เมื่อวันที่ 4 ก.ค.66 ว่ามีที่ดินรวม 44 แปลง รวมมูลค่า 94,769,165 บาท โดยไม่มีการแจ้งรายการที่ดิน ส.ป.ก.เลขที่ 513 ไว้ จึงควรตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก. แปลงดังกล่าว ที่แจ้งไว้ว่าเป็นไปโดยชอบหรือไม่

2.นายประเสริฐ จันทรรวงทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ยื่นบัญชีทรัพย์สิน ต่อป.ป.ช. กรณีพ้นจากตำแหน่งสส.เมื่อวันที่ 20 มี.ค.66 ว่ามีที่ดิน ภ.บ.ท.5 รวม 1 แปลง มูลค่า 300,000 บาท โดยไปแสดงไว้ในรายการที่ 9 ของรายการสิทธิและสัมปทาน และยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งสส.เมื่อวันที่ 4 ก.ค.66 ว่ามีที่ดิน ภ.บ.ท.5 รวม 1 แปลง มูลค่า 300,000 บาท โดยไปแสดงไว้ในรายการที่ 9 ของรายการสิทธิและสัมปทาน ไว้เช่นเดิม จึงควรตรวจสอบที่ดิน ภ.บ.ท.5 แปลงดังกล่าวที่แจ้งไว้ว่า เป็นไปโดยชอบ หรือไม่

3.นายสมศักดิ์ บุญประชม สส.อุบลราชธานี เขต 10 พรรคเพื่อไทรวมพลัง (พทล.) ยื่นบัญชีทรัพย์สิน ต่อป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งสส. เมื่อวันที่ 4 ก.ค.66 ว่ามีที่ดินรวม 35 แปลง รวมมูลค่า 56,490,000 บาท โดยแจ้งรายการที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 เลขที่ 10662 ไว้ในลำดับที่ 27 ต.สีวิเชียร อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เนื้อที่ 1 งาน 5 ตารางวา แจ้งมูลค่าไว้ 500,000 บาท จึงควรตรวจสอบที่ดินส.ป.ก.แปลง ดังกล่าวที่แจ้งไว้ว่า เป็นไปโดยชอบหรือไม่

ถือครองที่ดินชอบหรือไม่
4.นายสรวีย์ ศุภปณิตา สส.ปทุมธานี เขต 1 พรรคก้าวไกล ยื่นบัญชีทรัพย์สิน ต่อ ป.ป.ช.กรณีเข้ารับตำแหน่งสส. เมื่อวันที่ 4 ก.ค.66 ว่ามีที่ดินรวม 260 แปลง รวมมูลค่า 504,537,000 บาท โดยแจ้งรายการที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 เลขที่ 5386 ไว้ในลำดับที่ 258 ต.ตะคุ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา เนื้อที่ 18 ไร่ 2 งาน 91 ตารางวา แจ้งมูลค่าไว้ 740,000 บาท จึงควรตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก. แปลง ดังกล่าวที่แจ้งไว้ว่า เป็นไปโดยชอบหรือไม่

5.นายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ สส.ชัยภูมิ เขต 3 พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ยื่นบัญชีทรัพย์สิน ต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งสส. เมื่อวันที่ 4 ก.ค.66 ว่ามีที่ดินรวม 142 แปลง รวมมูลค่า 29,725,462 บาท โดยแจ้งรายการที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 รวม 2 แปลง คือ เลขที่ 31110 ไว้ในลำดับที่ 141 ต.ห้วยยายจิ๋ว อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เนื้อที่ 1 งาน 62 ตารางวา แจ้งมูลค่าไว้ 20,000 บาท และเลขที่ 31111 ไว้ในลำดับที่ 142 ต.ห้วยยายจิ๋ว อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เนื้อที่ 1 งาน 48 ตารางวา แจ้งมูลค่าไว้ 20,000 บาท จึงควรตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก. แปลงดังกล่าวที่แจ้งไว้ว่า เป็นไปโดยชอบ หรือไม่

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กรณีทนายเรืองไกร ยื่นตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของตนนั้น เป็นเรื่องเก่าที่ตน เคยถูกร้องเรียนมาแล้ว ยืนยันว่าที่ดิน ภ.บ.ท. 5 แปลงดังกล่าวเป็นของภรรยา ซึ่งได้รับสิทธิและสัมปทานจากกรมธนารักษ์ถูกต้องตามกฎหมาย จึงไม่ได้เป็นการกระทำผิดตามที่นายเรืองไกรระบุ เมื่อถามว่าการที่นายเรืองไกรร้องป.ป.ช.เป็นการดิสเครดิต หรือไม่ นายประเสริฐกล่าวว่า ไม่อยากมองเช่นนั้น แต่ยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย

ด้านนายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ สส.ชัยภูมิ พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ที่ดินดังกล่าวใช้เป็นที่อยู่อาศัย และเป็นของภรรยา ที่ได้รับตกทอดมาจากบิดามารดา ซึ่งเป็นเกษตรกรโดยได้รับมาถูกต้องตามกฎหมายปฏิรูปที่ดินมาหลายสิบปีแล้ว และตนยินดีให้ตรวจสอบ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน