เศรษฐายันไม่มีตั๋วพท. ไร้สส.วิ่งขอตั้งผู้กำกับ ก้าวไกลเล็งยื่นเอาผิด รมช.คลังโต้ถ่วงพรบ.กู้

‘เศรษฐา’ลั่นไม่เคยมีสส.เพื่อไทย มาขอแต่งตั้งผู้กำกับ นายกฯ ไร้อำนาจแทรกแซง ก้าวไกลชี้‘ตั๋วสร.1-ตั๋วเพื่อไทย’ส่อผิดกฎหมาย เล็งร้องเอาผิดทั้งจริยธรรม พ.ร.บ.ตำรวจ-รธน.มาตรา 185 ด้านกมธ.ตำรวจเชิญนายกฯ ชี้แจง 7 ธ.ค. ปชป. ขู่ถ้ามีหลักฐานยื่นซักฟอกแน่ คลังโต้ เตะถ่วงออกพ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้าน ลุยแจก 1 หมื่น ตั้งเป้าเข้าครม.ปีนี้ ป.ป.ช.เตรียมเปิดบัญชีทรัพย์สิน ‘บิ๊กตู่- บิ๊กป้อม‘ วันศุกร์นี้

‘เศรษฐา’ยันไม่มีตั๋วเพื่อไทย
เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ชี้แจงกรณีพูดในที่ ประชุมสส.พรรคเพื่อไทย(พท.) เมื่อวันที่ 21 พ.ย. เรื่องการวิ่งเต้นโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้กำกับ (ผกก.) ว่า “โอ้ย ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอกครับ ผมยืนยันว่าทางผมไม่มีอำนาจและไม่เคยแทรกแซง ไม่เคยก้าวก่ายการแต่งตั้งข้าราชการและข้าราชการตำรวจเลย เป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ(ตร.) ที่จะพิจารณาตามผลงาน”

อย่างที่ทราบประชาชน โดย สส.ซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนมาพูดคุยกันเรื่องการแก้ปัญหายาเสพติดที่เรื้อรัง แล้วอาจไม่สบายใจกับเจ้าหน้าที่จึงมีการพูดคุยกัน ยืนยัน สส.ไม่ได้มาขอ “เราพูดเรื่องความ ไม่ได้พูดเรื่องคน ความคือมีปัญหาในพื้นที่ เราเองก็มาพูดกันถึงปัญหาในพื้นที่มากกว่า เอาเรื่องความเป็นหลัก ยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้ไปก้าวก่ายหรือไปสั่งการกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการแต่งตั้งผู้กำกับ และความจริงแล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจของผมด้วย”

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯ เคยพูดเรื่องนโยบายว่าไม่อยากให้มีการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง การใช้เส้นสาย ต้องกำชับสส. ในพื้นที่อย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า สส.ทราบหน้าที่ของตนเองดีอยู่แล้ว ไม่ได้มีประเด็นตรงนี้

ถวายกฐิน – นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของสำนักนายกรัฐมนตรี ประจำปี 2566 ที่วัดราชผาติการาม ถนนราชวิถี เขตดุสิต กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 พ.ย.

ไร้อำนาจแทรกแซงแต่งตั้งตร.
ต่อข้อถามว่าที่นายกฯบอกว่ามีการขอมาเยอะ เนื่องจากมีทั้งคนผิดหวังและคนที่สมหวังหมายความว่าอย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่ใช่การขอมา คนสมหวังคนผิดหวัง หมายความว่ามีคนบอกว่าเจ้าหน้าที่อาจทำงานไม่ดีตรงนี้ ตนไม่สามารถบอกได้ว่าสมมติถ้าเขาทำงานไม่ดี ตนไม่สามารถไปสั่งย้ายได้อยู่ดี ทำได้เพียงไปบอกว่าในพื้นที่ ในส่วนนี้ ในเขตนี้ มีปัญหาเรื่องยาเสพติดเยอะช่วยดูแลด้วย และถ้าเกิดมีการกำกับดูแลไปแล้วยังยืนยันว่าบุคคลที่อยู่ในพื้นที่เป็นบุคคลที่เหมาะสม อยู่ก็ต้องทำงานต่อไป ขอย้ำว่าเราพูดเรื่องความไม่ใช่พูดเรื่องคน และยืนยันมาตลอด

ผู้สื่อข่าวถามว่าประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นทางพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ตีความว่าอาจผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 185(3) จะชี้แจงอย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า “โอ้ว! ยืนยันครับว่าผมไม่ได้ไปก้าวก่าย ไม่เคยไปสั่งการและทางสส.ไม่เคยมาขอ” ส่วนกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ระบุตัวเขากับพรรคเพื่อไทยและนายทักษิณ ชินวัตร เป็นมิตรกัน นายเศรษฐากล่าวว่า “ผมเน้นคำว่าเป็นมิตร เน้นเรื่องความสมัครสมานสามัคคี เน้นเรื่องการสื่อสารที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เป็นการด้อยค่า ใช้คำพูดใช้คำแนะนำในเชิงสร้างสรรค์ ผมจึงพยายามจำคำว่าเป็นมิตร”








Advertisement

ช่วงเย็น นายเศรษฐา ทวีตว่า “การทำงานต้องมีการสื่อสารให้พี่น้องประชาชน ทราบถึงขั้นตอนในการทำงาน ในเชิงแผนงานใหญ่ รายละเอียดต้องมีการทำงานกันต่อไป ในเชิงปฎิบัติการคงต้องมีเรื่องที่ต้องทำกันต่อไป คำถามจากพี่น้องสื่อมวลชนก็เป็นหนึ่งในทางเสนอแนะเพื่อให้เราปฏิบัติงานได้อย่างมีคุณภาพสูงมากขึ้น ถ้าวันนั้นยังไม่มีคำตอบก็จะไปทำงานกันต่อเพื่อหาคำตอบมาในวันข้างหน้า ขอบคุณครับ”

ก้าวไกลชี้ส่อผิดมาตรา 185
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชี รายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์คลิปวิดีโอนายเศรษฐา พูดกับ สส.พรรคเพื่อไทย วันที่ 21 พ.ย. พร้อมระบุข้อความ “การที่ สส.มาขอตำแหน่งผู้กำกับกับนายกฯ นั้นเป็นการกระทำที่ผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 ชัดเจน”

จากคลิปสะท้อนว่า น่าจะมี สส.จำนวนมากกระทำผิดมาตรา 185(3) ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ สส. สว. ต้องไม่ก้าวก่าย แทรกแซงการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน เลื่อนตําแหน่ง เลื่อนเงินเดือนหรือการให้พ้นจากตําแหน่งของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างหน่วยราชการ หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น และคำพูดนายกฯ ยังสะท้อนว่านายกฯ ได้ร่วม หรือสนับสนุนการกระทำความผิดด้วย

สิ่งที่นายกฯ ควรตอบคำถามของสังคมให้กระจ่างชัด คือ 1.คนที่อยู่ในห้องประชุม ที่มาฝากผู้กำกับ ที่นายกฯ บอกว่ามีเยอะเหลือเกินนั้นมีใครบ้าง 2.นายกฯ จะดำเนินการอย่างไรกับบรรดา สส.ที่ยกโขยงมาขอตำแหน่งผู้กำกับใหม่ หากเพิกเฉยเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ยืนยันว่าเรื่องนี้สำคัญมากนายกฯ จะเงียบเนียนไม่ได้ จำเป็นต้องมีคำตอบให้สังคม

เชื่อนายกฯรู้เห็น-สส.เกี่ยวข้อง
ด้านนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เอ็กซ์ว่า เรื่องตั๋วตำรวจที่นายเศรษฐาพูดทำนองว่ามี สส.เพื่อไทยฝากกันมาเยอะ ผิดทั้งรัฐธรรมนูญ จริยธรรมนักการเมือง พ.ร.บ.ตำรวจ เป็นถึงนายกฯ กลับทำเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ทั้งๆ ที่เป็นการใช้เส้นสายและผิดกฎหมาย รัฐบาลเริ่มต้นไม่ทันไรก็ทำให้ระบบเส้นสายเติบโตเสียแล้ว ใช่ไหมถึงไม่อยากใช้คำว่าปฏิรูป ถึงไม่กล้ามาตอบกระทู้ในสภา เรื่องนี้จะต้องตรวจสอบกันอย่างแน่นอน นายเศรษฐาอย่าได้หนีการตรวจสอบ และเอาความจริงมาพูดว่าตกลงฝากใครไปบ้าง ผู้กำกับคนไหนได้ตั๋ว สร.1 (ตั๋วนายกฯ) ได้ตั๋วเพื่อไทย และขอเรียกร้องพี่น้องตำรวจให้ช่วยกันส่งเรื่องนี้มาให้ผม เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้นิ่งเงียบเด็ดขาด

นายรังสิมันต์ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ชัดเจนในเรื่องตั๋วยังมีอยู่และเรื่องนี้มีปัญหาจริง ซึ่งปกติตั๋วจะไม่มีใบเสร็จหรือหลักฐานที่เป็นเอกสารราชการในการยืนยันสิ่งเหล่านี้ เพราะส่วนมากจะเป็นการโทร.ฝากกัน แต่คนที่เป็นระดับนายกฯ พูดในที่ประชุมสส. ไม่สามารถมองเป็นอย่างอื่นได้ว่ามี สส.ของพรรคเพื่อไทยมาขอนายเศรษฐา เรื่องนี้ผิดกฎหมายแน่นอน และยังสะท้อนถึงระบบอุปถัมภ์ที่อยู่ภายใต้รัฐบาลนายเศรษฐา ตอนหาเสียงประกาศว่าจะไม่ยอมรับ รวมถึงจัดการระบบเส้นสาย แต่กลับพูดออกมาได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ว่ามีผู้กำกับบางคนที่ผิดหวัง บางคนก็สมหวัง ซึ่งฟังได้ว่ามีสส. ฝากมา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เลวร้ายของตำรวจชั้นผู้น้อย แสดงให้เห็นว่าหากไม่มีเส้นสาย จะไม่สามารถเติบโตได้ ซึ่งตนกังวลว่าในประเด็นดังกล่าวอาจจะขยายผลไปถึงการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการใน ระดับอื่นๆ ด้วย

จ่อร้องจริยธรรม-พรบ.ตำรวจ-รธน.
“จากการฟังคำพูดของนายกฯ ชัดเจน ไม่ต้องบิดเป็นคำพูดอื่น เพราะชัดเจนว่านายเศรษฐา เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายจริง บางคนอาจถามว่ามีหลักฐานเพื่อเอาผิดนายกฯ ผมขอบอกว่าการฝากแต่งตั้งนายตำรวจไม่สามารถหาเอกสารทางราชการได้ เพราะใช้การสนทนาทางโทรศัพท์ต่อสายเพื่อฝากได้ ดังนั้น คำพูดของนายกฯที่ผมเชื่อว่าเป็นการแฉตัวเอง หรือการหลุด ชัดเจนว่าจะฟังได้ว่าการ แต่งตั้งโยกย้ายตำรวจมีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้นในขณะนี้” นายรังสิมันต์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่ามองหรือไม่ว่าการพูดของนายกฯ ไม่ได้มีเจตนา แต่พูดดักทางไว้ก่อน นายรังสิมันต์กล่าวว่า ตนไม่มองเช่นนั้น เพราะท่าทีของนายกฯ ไม่ต้องการห้ามปราม และจากที่ตนฟังคำพูดของ นายกฯ หลายรอบ ว่า มีการขอมาเยอะ ชัดเจนอย่างยิ่ง ว่าคือการขอมาโดยสส. เพื่อไทย เพราะพูดต่อที่ประชุมสส.พรรคเพื่อไทย ถือเป็นการส่งสัญญาณว่าต้องมีตั๋วเพื่อไทยหรือไม่ เพื่อได้เป็นตำรวจในระดับที่สูงขึ้น ได้ตำแหน่งการงานที่ดีขึ้น

“ผมฟังคำชี้แจงของนายกฯ ที่อธิบายในวันที่ 22 พ.ย. แล้ว แต่ไม่ได้ตอบตรงประเด็น ฟังแล้วเหมือนกับเป็นนายกฯ คนละคน เพราะหักล้างในสิ่งที่พูดไว้เมื่อ 21 พ.ย. ความจริงของนายกฯ ชัดเจนว่ามีเรื่องตั๋วจริงและนายกฯ เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อีกทั้งผมมองว่าสิ่งที่นายกฯ พูดนั้นทำลายศรัทธาของระบบราชการ และไม่คิดว่าจะเป็นการพูดที่ปกติหรือเป็นธรรมชาติ” นายรังสิมันต์กล่าว

เมื่อถามว่าจะมีการตรวจสอบเพื่อยื่นเอาผิดทางกฎหมายหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบในเชิงข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงประกอบด้วย เบื้องต้นพบว่าคำพูดของนายกฯ เข้าข่ายผิดจริยธรรม ผิดพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ และรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 โดยมี ผู้เชี่ยวชาญทุกส่วนช่วยตรวจสอบและพยายามให้ นาตาชาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำข้อมูลความจริงเพื่อนำไปสู่การตรวจสอบต่อไป มองว่าเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับนายกฯ คนเดียว เพราะนายกฯ พูดเองว่าขอเยอะ ดังนั้นตามกระบวนการเชื่อว่ามี สส.เกี่ยวข้อง แต่กรณีดังกล่าวยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะนำไปสู่ประเด็นที่จะนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่

โฆษกปชป.จี้นายกฯรับผิดชอบ
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า สังคมทราบจากปากของนายเศรษฐาว่ามีการฝากขอตำแหน่งกันได้ แต่ที่สำคัญของเรื่องนี้คือนายกฯ กำลังทำผิดรัฐธรรมนูญที่มีเจตนารมณ์ป้องกันไม่ให้ สส.ก้าวก่ายแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ตามมาตรา 185 รัฐธรรมนูญ

กรณีนี้นายกฯ เป็นตัวการร่วมในการ กระทำความผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายกฯ ต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้กระจ่างชัด เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2566 นายเศรษฐาเคยกล่าวถึงเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายว่า “เป็นเรื่องน่าเศร้า ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการต้องมีความเป็นธรรม เรื่องการซื้อขายตำแหน่งต้องไม่มี” จากกรณีที่มีการยิงนายตำรวจเสียชีวิต ที่ จ.นครปฐม วันนี้เราเห็นนายกฯ ประกาศอย่างภาคภูมิใจในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจที่ยอมรับถึงการฝากฝัง แทรกแซงจากฝ่ายการเมือง คำพูดนายกฯ เชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป อย่าไปหวังเรื่องการพัฒนาปฏิรูปตำรวจให้ดีขึ้น เพราะแม้แต่เรื่องคุณธรรมการแต่งตั้งจากผู้นำประเทศยังไม่มีเลย เรื่องนี้เชื่อว่าจะเป็นประเด็นสำคัญในทางการเมือง และเชื่อว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ชาติ (ป.ป.ช.) จะเข้ามาตรวจสอบ

กมธ.ตำรวจเชิญแจง-ขู่ซักฟอก
ที่รัฐสภา นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า กมธ.มีมติจะเชิญนายกฯ มาชี้แจงเรื่องนี้ในวันที่ 7 ธ.ค. รัฐธรรมนูญมาตรา 185 (3) กำหนดชัดเจนว่า สส. สว. หากมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องกับเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และสิ่งที่นายกฯ ระบุมีการขอตำแหน่งผู้กำกับการมาเยอะ ซึ่งมีทั้งคน ผิดหวังละคนสมหวัง

หากเป็นข้อเท็จจริงตามที่นายกฯ พูด สส.คนไหนมีส่วนเกี่ยวข้องหากขัดต่อรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่การทำให้หลุดพ้นจากตำแหน่ง ส่วนตัวมั่นใจว่า สส.ทั้ง 500 คนในสภายึดหลักรัฐธรรมนูญ ไม่มีการแทรกแซงแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ขณะเดียวกันไม่สามารถวิจารณ์ได้ว่าประเด็น ดังกล่าวเป็นเรื่องตั๋วตำรวจหรือไม่ แต่ต้องเชิญนายกฯ มาชี้แจงตอบคำถามว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร มีเจตนาอะไร หากไปถามเรื่องมีการวิ่งเต้น แต่งตั้งโยกย้ายหรือไม่จะเป็นการกล่าวหาต่อองค์กรจึงไม่ขอก้าวล่วง

เมื่อถามว่าเรื่องนี้เป็นธรรมเนียมปกติหรือไม่ นายชัยชนะกล่าวว่า ไม่เป็นปกติ เพราะห้าม สส.แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้าย สิ่งที่นายกฯ พูดหากเป็นจริงเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเดือดร้อนทั้งพรรค เพราะ ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 185 (3) เป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านตรวจสอบฝ่ายบริหารอยู่แล้ว หากมีหลักฐานชัดเจนเชื่อว่าจะนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ

คลังปัดเตะถ่วงพ.ร.บ.กู้ 5 แสนล.
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการดำเนินการร่างคำถามเพื่อเตรียมส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความการออกพ.ร.บ.กู้เงิน5 แสนล้านบาท เพื่อเดินหน้าเงินดิจิทัลทำได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการตามกฎระเบียบ ขั้นตอน ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยหลากหลายหน่วยงานรับรองการประชุมก่อน จากนั้นต้องรอดูภาพรวมภาวะทางเศรษฐกิจล่าสุด จากการแถลงของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ แล้วร่างคำถามสอบถามให้ครบถ้วน ก่อนส่งกฤษฎีกา

“ยืนยันว่าไม่ได้ยื้อ รอเขาส่งที่ปรับอยู่เหมือนกัน ขั้นตอนต้องรอเวียนรับรองการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ต ชุดใหญ่ พอมีแถลงภาวะเศรษฐกิจของสภาพัฒน์ต้องมาปรับใหม่อีก จากนั้นจะสามารถร่างคำถามให้ครบถ้วนได้ คาดว่าจะยื่นคำถามให้กฤษฎีตีความได้ในเร็วๆ นี้” นายจุลพันธ์กล่าว

นายจุลพันธ์กล่าวว่า กระบวนการ การยกร่างกฎหมายใช้เวลาไม่มาก ส่วนกฤษฎีกาจะใช้ระยะเวลาตีความแล้วส่งกลับมายังกระทรวงการคลังได้เมื่อไร ไม่กล้าตอบ แต่กระทรวงการคลังยังคงตั้งเป้าหมายตามเดิมว่า จะสามารถยกร่างพ.ร.บ.กู้เงิน และนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ภายในปีนี้

ชงครม.ขึ้นเงินขรก. 28 พ.ย.
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว. ต่างประเทศ ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการพิจารณาแนวทางปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการตามข้อสั่งการนายกฯ ว่า ใกล้แล้ว อีก 1-2 วันน่าจะเสร็จ และคาดว่าจะนำเสนอที่ประชุมครม.ได้ในวันอังคารที่ 28 พ.ย.นี้

เมื่อถามว่าจะเป็นคำตอบให้ครม. ได้พิจารณาว่าจะตัดสินใจขึ้นเงินเดือนเลยหรือไม่ นายปานปรีย์กล่าวว่า ต้องนำให้ครม.ได้ตัดสินใจ

ศาลนัดไต่สวนคดีหุ้นไอทีวี – 112
วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6)ประกอบมาตรา 98(3)หรือไม่จากกรณีเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ อยู่ในวันสมัครรับเลือกตั้งสส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งคดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาและสั่งให้นายพิธา ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สส.นับแต่วันที่ 19 ก.ค.2566 จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ต่อมานายพิธายื่นคำชี้แจงแก้ ข้อกล่าวหา พร้อมบัญชีระบุพยานเอกสาร พยานบุคคล พยานวัตถุ ฉบับลงวันที่ 2 ต.ค. 2566 และบัญชีระบุพยานบุคคลเพิ่มเติม ครั้งที่ 1 ฉบับลงวันที่ 18 ต.ค.2566

ศาลรัฐธรรมนูญได้อภิปรายและเห็นควรไต่สวนพยานบุคคลต่อไป จึงกำหนดวันนัดไต่สวนพยานบุคคลในวันที่ 20 ธ.ค. เวลา 09.30 น.

นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่เอกสารข่าวกรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่า การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 2) ที่เสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ. เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปราย และเห็นควรไต่สวนพยานบุคคลต่อไป จึงกำหนดวันนัดไต่สวนพยานบุคคล ในวันที่ 25 ธ.ค. เวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี ชั้น 3 ศาลรัฐธรรมนูญ

29 พ.ย.ลงมติปมโต้แย้ง
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 34 หรือไม่ โดยศาลอาญาส่งคำโต้แย้งของจำเลย น.ส.รักชนก ศรีนอก ในคดีอาญา หมายเลขดำที่ อ 683/2565 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 34 หรือไม่

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติในวันที่ 29 พ.ย. เวลา 09.30 น.

ตีตกคำร้องป.ป.ช.ขอไม่เปิดข้อมูล
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่ ป.ป.ช. ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่กรณี มีมติมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยอาศัยบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 เป็นหน้าที่และอำนาจ เป็นการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 59 และมาตรา 63 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 มาตรา 36 และมาตรา 180 ที่กฎหมายบัญญัติไว้ เป็นการเฉพาะ ต่อมามีการโต้แย้งอำนาจดังกล่าว ป.ป.ช.จึงส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำร้องของ ป.ป.ช. ดังกล่าวคาดว่ามาจากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ ป.ป.ช.เปิดเผยรายงานผลการสอบสวนคดีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ถูกกล่าวหาว่าจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 333/2562 แก่นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายต้านคอร์รัปชั่น ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคําพิพากษา

ต่อมา ป.ป.ช.ได้ยื่นคำฟ้องขอให้ศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่และศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองชั้นต้น ไม่รับพิจารณาคดีใหม่ โดยเมื่อช่วงต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ป.ป.ช.มีมติ 4 ต่อ 1 ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ปฏิบัติ ว่าขัดหรือแย้ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 36 และมาตรา 180 หรือไม่

จับตาเปิดเซฟ‘บิ๊กตู่-ป้อม’ 24 พ.ย.
ผู้สื่อข่าวข่าวจากสำนักงานป.ป.ช.ว่า ในวันศุกร์ที่ 24 พ.ย. คณะกรรมการป.ป.ช.จะเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 18 ราย กรณีรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรี เข้ารับตำแหน่ง พ้นจากตำแหน่ง และสส. กรณีเข้ารับตำแหน่ง รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามกฎหมายป.ป.ช. ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566 นายดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.การต่างประเทศ กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566

พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล อดีตรมช.กลาโหม กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566 นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2566 นายจุติ ไกรฤกษ์ อดีตรมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566 นายประภัตร โพธสุธน อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566 นาย สุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566 นายนริศ ขำนุรักษ์ อดีตรมช.มหาดไทย กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566

พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช อดีตรมช.ศึกษาธิการ กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.วัฒนธรรม กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566 นายเกรียงศักดิ์ ฝ้ายสีงาม สส. กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 ก.ค.2566 นายภาคภูมิ บูลย์ประมุข สส. กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 ก.ค.2566

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล อดีตสส. กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 23 ก.ค.2562 นายหรั่ง ธุระพล สส. กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 ก.ค.2566 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ อดีตรองประธานกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2566 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีตประธานกรรมการธนาคารเพื่การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566

โปรดเกล้าฯพ.ร.ฎ.ประชุมรัฐสภา
เมื่อวันที่ 22 พ.ย.เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระบรมราชโองการ พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ.2566 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ไว้ ณ วันที่ 21 พ.ย.2566 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน โดยมี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ มีเนื้อหาว่า

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่สภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ในวันที่ 12 ธ.ค. ตามความในมาตรา 121 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 121 มาตรา 122 และมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2566

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายมีการระบุเหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ว่า โดยที่มาตรา 121 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้ในปีหนึ่งให้มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัย สมัยหนึ่งให้มีกำหนดเวลา 120 วัน และวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ในวันที่ 12 ธ.ค. สมควรที่จะให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองสำหรับ ปี พ.ศ.2566 จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน