พ่อจรวด ที่เสี่ยแป้งอัดคลิปแฉศึกชิงตัวประกัน เข้าให้ปากคำที่บก.พัทลุง ส่วนอัยการบอย คาดขึ้นมากรุงเทพฯให้ปากคำจเรตำรวจ นอภ.ป่าบอนตั้งกรรมการสอบปมสารวัตรกำนันวังใหม่ ถูกดำเนินคดีพาผู้ต้องหาหนี กลุ่มทนายใจดี รุดบ้านพี่ชาย เสี่ยแป้งรับทำคดีให้ ญาติโอดไม่ได้รับความเป็นธรรม เรียกไปสอบสวนกลับไม่มีทนายเข้าไปด้วย ตร.บุกค้นบ้านทั้งที่ไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงาน ลูกก็พลอยเดือดร้อนไปด้วยถูกมองพ่อเป็นผู้ต้องหา ยันไม่ได้พาน้องชายหนี ส่วนที่ไปกดเงินแถวร.พ. เพราะไปรักษาอาการป่วย และกดเงินให้ภรรยาใช้จ่ายในครอบครัว ไม่ได้เอาไปซื้ออุปกรณ์ช่วยน้องหนีตามที่ถูกกล่าวหา
จากกรณี นายเชาวลิต ทองด้วง หรือ “เสี่ยแป้ง นาโหนด” ผู้ต้องหาหลบหนีคดียาเสพติดที่ยังหลบหนีอยู่ อัดคลิปแฉเรื่องราวต่างๆ โดยพาดพิงย้อนกลับไปถึงคดีเมื่อปี 2562 เกี่ยวกับการชิงตัวประกัน นายจรวด ทรงเดชะ อายุ 28 ปี ซึ่งเหตุการณ์ ดังกล่าวมีชื่อของบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องในเหตุการณ์รวม 4 ราย ประกอบด้วย พ่อของนายจรวด, อัยการบอย, นายสมชาย นุ่นเกลี้ยง หรือประธานติ่ง, จ่ามิตร-จ.ส.อ.สมมิตร และดาบติ๊ก ร.ต.ต.ธีรวุฒิ จันทร์แก้ว ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องและถูกพาดพิงในคลิปเข้าให้ข้อมูลและปากคำกับทางสำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) โดยวันที่ 1 ธ.ค. นายจรวดเดินทางเข้าให้ปากคำแล้ว แต่ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล ต่อมาวันที่ 2 ธ.ค. ร.ต.ต.ธีรวุฒิ จันทร์แก้ว หัวหน้าสายตรวจ 19 สภ.บ้านในควน อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง, จ.ส.อ.สมมิตร หนูเขียว ทหารสังกัด ช.พัน 402 ค่ายอภัยบริรักษ์ อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง, นายสมชาย นุ่นเกลี้ยง หรือประธานติ่ง อดีตประธานสภาเทศบาลปรางหมู่ อ.เมือง จ.พัทลุง และนายไสว รุยันต์ ผู้สื่อข่าวจ.พัทลุง ได้เข้าให้ปากคำ ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้า ที่บก.ภ.พัทลุง เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. มีรายงานว่า นายสมชาย ทรงเดชะ ซึ่งเป็นพ่อของนายจรวด ได้เดินทางเข้ามาให้ปากคำต่อตำรวจ โดยหลบกลุ่มผู้สื่อข่าวที่มารอทำข่าวจำนวนมากขึ้นไปรอให้ปากคำบนชั้น 3 เมื่อเวลา 07.30 น. ส่วนนายพงศ์พิพัฒน์ เกิดเทพ หรืออัยการบอย คาดว่าน่าจะให้ปากคำต่อสำนักงานจเรตำรวจในกรุงเทพฯ เนื่องจากเจ้าตัวได้มีคำสั่งไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนกลางแล้ว
ขณะที่ นายกัมปนาท อ่อนสง สารวัตรกำนัน ต.วังใหม่ อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ซึ่งเป็น 1 ใน 5 กลุ่มผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัวภายหลังนั้น นายพรพนม จันทรเทพ นายอำเภอป่าบอน จ.พัทลุง เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น 1 ชุด เพื่อเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที่นายกัมปนาทตกเป็นผู้ต้องหาในการพาคนร้ายหลบหนีว่าเรื่องดังกล่าวมีข้อเท็จจริงอย่างไร เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของฝ่ายปกครองใน อ.ป่าบอน ได้รับความเสียหาย
ด้าน ทนายชัช หรือว่าที่ ร.ต.ชัชวาลย์ บำรุงวงค์ อายุ 52 ปี ทนายกลุ่มทนายใจดี ได้เดินทางมายังบ้านของ นายกษิดิ์ชาติ ทองด้วง พี่ชายของเสี่ยแป้ง หลังจากที่เจ้าตัวได้รับเรื่องร้องทุกข์จากทางญาติของเสี่ยแป้ง เรื่องของผลกระทบจากการเข้าบุกตรวจค้นบ้านและมีการจับกุมแจ้งข้อหาในการช่วยเหลือเสี่ยแป้ง ซึ่งทางครอบครัวของนายกษิดิ์ชาติได้เน้นย้ำมาโดยตลอดว่าที่ผ่านมาแม้จะให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยในส่วนของขั้นตอนกระบวนการแจ้งข้อหา ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม ซึ่งบรรยากาศที่บ้านของทางด้าน นายกษิดิ์ชาติ ได้มีการเตรียมเอกสารในส่วนของ หลักฐานที่เกี่ยวข้องและยืนยันความบริสุทธิ์ใจให้กับทางทนายชัช ซึ่งเอกสารดังกล่าวนั้นจะเป็นในส่วนของการกดเงินจากตู้เอทีเอ็มบริเวณหน้า ร.พ.พัทลุง รวมไปถึงเอกสารเกี่ยวกับการเดินทางเข้าไปรักษาอาการป่วยเนื่องจากก้างปลาทิ่มคอ ที่คลินิกแห่งหนึ่งในพื้นที่พัทลุง
ทนายชัชได้สอบถามและขอข้อมูล รายละเอียดรวมไปถึงมีการสอบถามข้อมูลถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 11 พ.ย.2566 ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม 6 นำหมายศาลจังหวัดพัทลุง เข้าค้นบ้าน รวมไปถึงทางด้านพี่ชายของเสี่ยแป้งได้เล่าข้อมูลหรือเหตุการณ์ให้กับทางทนายชัช รับทราบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการเข้ามาตรวจค้นของ เจ้าหน้าที่กองปราบปรามซึ่งทราบว่าเป็นของส่วนกลางร่วมกับทางเจ้าหน้าที่ร้อยเวร ในพื้นที่นำหมายศาลเข้ามาตรวจค้น แต่ไม่ได้มีการแสดงหมายจับหรือหมายเรียกแต่อย่างใด โดยพฤติการณ์ในวันนั้นทางเจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นได้เชิญตัวเพื่อไปให้ข้อมูลหรือรายละเอียดที่สภ.เมืองพัทลุง แต่สุดท้ายเมื่อไปถึงสภ. ก็กลับมีการแจ้งข้อหาและนำตัวเข้าห้องขังเป็นระยะเวลา 3 ชั่วโมง ก่อนที่จะสงสารและให้ทางครอบครัวญาติไปประกันตัวที่ชั้นศาล ยืนยันก่อนการเข้าตรวจค้นหรือแจ้งข้อหาไม่ได้มีหมายเรียกหรือหมายจับมาที่บ้าน ซึ่งทางพี่ชายของเสี่ยแป้งเองได้ให้ข้อมูลกับทางทนายว่าค่อนข้างรู้สึกตกใจและเสียความรู้สึก เพราะส่วนตัวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือให้ความช่วยเหลือกับทางด้านเสี่ยแป้งตามที่มีการตั้งข้อหา ทั้งที่ตนเองปฏิเสธตั้งแต่ชั้นสอบสวน
ขณะที่ในส่วนของผลกระทบของครอบครัวโดยหลักก็จะเป็นในส่วนของลูกที่กำลังเรียนอยู่ในชั้นมหาวิทยาลัย เนื่องจากหลายคนไม่เข้าใจก็มีการตีตราว่าตนในฐานะพ่อเป็นผู้กระทำความผิด รวมไปถึงญาติและบุคคลอื่นที่มีการพาดพิงถึง
ต่อมา ทนายชัชเปิดเผยว่า การเดินทางมาพบกับทางญาติของเสี่ยแป้งวันนี้ เนื่องจากตนได้รับการประสานมาจากครอบครัวและญาติของเสี่ยแป้งหลังจากที่ตกเป็นข่าวและมีการเข้ามาตรวจค้นบ้านรวมไปถึงมีการตั้งข้อหา ตลอดจนในส่วนของครอบครัวญาติบางรายยังหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่กล้าที่จะออกมาพูดคุยหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกและเรื่องของคดีความ จึงมาพูดคุยกับนายกษิดิ์ชาติ ในฐานะมีศักดิ์เป็นพี่ของเสี่ยแป้ง ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับฟังก็พอจะทำให้ทราบเรื่องว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่มีการเข้ามาตรวจค้นนั้นอาจเชื่อมโยงมาจากข้อสันนิษฐานของทางสถานีตำรวจ หลังจากทราบว่าทางเสี่ยแป้งได้หลบซ่อนตัวอยู่ที่บริเวณเทือกเขาบรรทัด สอดคล้องกับทางด้านพี่ชายที่ทำงานอยู่ในส่วนของกรมอุทยานฯ รับผิดชอบบริเวณเทือกเขาบรรทัด เลยทำให้มีการเชื่อมโยงว่าพี่ชายให้ความช่วยเหลือ
ทนายชัชเผยต่อว่า จากการสอบถาม พี่ชายของเสี่ยแป้ง ยอมรับว่าในมุมของข้อกฎหมายเบื้องต้นค่อนข้างพบความผิดปกติบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเด็นหมายเรียก หมายจับ หรือขั้นตอนในการแจ้งข้อหา ตลอดจนในส่วนของกรณีที่ทางพี่ชายเสียแป้งโดนตั้งข้อหามาตรา 192 เกี่ยวกับกรณีให้ความช่วยเหลือ ซึ่งที่จริงแล้วโทษไม่เกิน 3 ปี หากเป็นขั้นตอนกระบวนการตามปกติก็จะต้องมีการออกหมายเรียก ซึ่งในส่วนของผู้ที่ถูกออกหมายเรียกก็มีสิทธิ์จะไปหรือไม่ไปตลอดจนสามารถหาทนายเพื่อมาสู้คดี หลังจากนี้ในฐานะทนายความ ตนเองก็นำหลักฐานและข้อมูลที่ได้รับเพื่อไปเรียกร้องความเป็นธรรมในลำดับต่อไป ซึ่งหากตรวจสอบแล้วพบความผิดปกติก็อาจต้องมีการร้องเรียนตามข้อกฎหมายหรืออาจร้องเรียนในส่วนของวินัยและประพฤติ มิชอบ หรืออาจขัดต่อ พ.ร.บ.อุ้มหายหรือไม่ แต่เบื้องต้นส่วนตัวจะขอร้องความเป็นธรรมให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือร้องเรียนไปที่ตำรวจภูธรภาค 9
ส่วนก่อนหน้านี้ที่มีกระแสข่าวว่าภายหลังที่มีการปล่อยคลิปตัวที่ 3 ออกมาทางเสี่ยแป้งจะมีการเข้ามอบตัวภายใน 4-5 วัน ทนายชัชกล่าวว่า ทางทนายความไม่ได้รับสัญญาณหรือมีการสื่อสารในลักษณะว่าทางเจ้าตัวจะออกมามอบตัวหรือไม่ และถือว่าเป็นอำนาจและวินิจฉัยในการตัดสินใจของเสี่ยแป้งเอง
ด้านนายกษิดิ์ชาติ พี่ชายของเสี่ยแป้งเปิดเผยว่า เผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการเข้าบุกค้นบ้านตอนนั้น เป็นเหตุการณ์เชื่อมโยงจนทำให้ทางตนเองเดือดร้อน รวมไปถึงกระทบในส่วนของหน้าที่การงานเนื่องจากตนเองก็รับราชการ เพราะหลังจากที่มีกระแสข่าวลือและทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ได้เข้ามาตรวจค้นที่บ้านของตนนั้น ตนเองก็พร้อมให้ความร่วมมือเนื่องจากบริสุทธิ์ใจและพร้อมให้เข้าตรวจค้น ตลอดจนได้เดินทางไปที่ สภ.เมืองพัทลุง เพื่อให้ข้อมูลให้ปากคำ เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเองได้มีการระบุว่าเป็นการเชิญตัวไปให้ข้อมูล แต่สุดท้ายแล้วปรากฏว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา ช่วยผู้อื่นซึ่งเป็น ผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด โดยให้เหตุผลว่าพฤติการณ์ของตนนั้น เป็นการช่วยเหลือในเรื่องของการจัดเตรียมในส่วนของเสบียงและอาหารให้กับทางเสี่ยแป้งเพื่อนำขึ้นเขาหลบหนี ซึ่งในความจริงตนไม่ได้มีพฤติการณ์ตามที่มีการระบุ เลยมีการตัดสินใจขอยื่นประกันตัวโดยใช้ หลักทรัพย์เป็นเงินจำนวน 36,000 บาท ออกมาเพื่อสู้คดีต่อในชั้นศาล
นายกษิดิ์ชาติเผยต่อว่า ส่วนทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจเองยังมีการให้ข้อมูลถึงสาเหตุของการแจ้งข้อหา ว่ามีการตรวจสอบแล้วพบว่าตนเองได้มีการเดินทางไปกดเงินจำนวนหลักหมื่นบาทผ่านตู้เอทีเอ็ม แถวร.พ.พัทลุง เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังที่ทางเสี่ยเเป้งหลบหนี เป็นการนำไปเพื่อซื้อเสบียงหรืออุปกรณ์ให้กับเสี่ยแตในการหลบหนีหรือไม่ ซึ่งความจริงแล้วตนมีหลักฐานว่าเดินทางไปร.พ.เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บซึ่งต้องเข้าไปหาหมอ โดยแวะกดเงินเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายให้กับทางภรรยา ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านโดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับประเด็นเสี่ยแป้งแต่อย่างใด รวมไปถึงในส่วนของที่เสียแป้งหลบหนี อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในช่วงที่คุมตัวตนไปที่สภ.เมืองพัทลุงนั้น ภายหลังทางภรรยาได้เดินทางตามไปเพื่อไปดำเนินการเรื่องเอกสารให้ แต่กลับโดนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจข่มขู่ ตลอดจนมีการให้ทางภรรยาเซ็นเอกสารบางอย่างโดยที่ทางครอบครัวเองก็ได้รับเอกสารที่มีการเซ็นกลับมา วันนี้จึงต้องออกมาเพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับตนเองและครอบครัวที่ถูกพาดพิง ไม่ได้จะกล่าวหาทางเจ้าหน้าที่ แต่อยากทราบในมุมของความเป็นจริงว่า การกระทำดังกล่าวนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่