ห่วงศก.วิกฤต-หนักใจปีหน้า บินประชุมอาเซียน-ญี่ปุ่นวันนี้ สภานัดแรก-โหวตหักก้าวไกล
นายกฯ บินญี่ปุ่นร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น 14-18 ธ.ค. พร้อมโปรโมตแลนด์บริดจ์ ดึงนักธุรกิจญี่ปุ่นมาลงทุน เผยหนักใจเศรษฐกิจปีหน้า ย้ำช่วงนี้ยังวิกฤต มอบนโยบายท่องเที่ยว ขอโทษบิ๊กททท. ถ้าพูดไม่รื่นหู แค่อยากดึงศักยภาพไทย สู่สายตาโลก กระตุกภาคเอกชนขึ้นค่าแรงไม่ทำธุรกิจหายนะ ยันค่าไฟต่ำกว่า 4.20 บาทต่อหน่วยแน่ แฉมีคนล็อบบี้ให้ปรับขึ้น ลั่นไม่ดึงปชป.ร่วมรัฐบาล ชี้ 314 เสียงเยอะ อยู่แล้ว สภาหัก ‘ก้าวไกล’ ตั้งแต่นัดแรก ปัดตก ขอเร่งพิจารณากม.สมรสเท่าเทียมไวขึ้น
‘เศรษฐา’ดันไทยสู่เน็ตซีโร่
เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 13 ธ.ค. ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “SUSTAINABILITY FORUM 2024” เรื่อง Clean Energy for Thailand Economy through Sustainability ว่า ตนอยากสะท้อนว่าจากที่ตนเดินทางไปต่างประเทศในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องโดยตรง เรื่องการค้า การดึงนักลงทุนเข้ามา เรื่องพลังงานสะอาด เรื่อง Net Zero หรือเป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เป็นเรื่องที่ไม่มีประเทศไหนในโลกที่เห็น ไม่ตรงกันในเรื่องนี้ ซึ่งหลายบริษัทตั้ง เป้าหมาย เช่น คอร์บอน ซีโร่ภายในปี 2030
ตนจะเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น วันที่ 14 ธ.ค. ซึ่งในส่วนของญี่ปุ่นมีเรื่องที่ทุกคนหนักใจ เนื่องจากเราทราบกันดีว่าจีนเป็นผู้นำด้านรถไฟฟ้าอีวี ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับด้าน Net Zero โรงงานผลิตรถยนต์ของจีนพัฒนามาก ใช้อีวีเยอะมาก แต่ที่ญี่ปุ่นต้องพูดตรงๆ ว่า เขายังตามหลังพอสมควร ดังนั้นภารกิจใหญ่ของรัฐบาลที่ต้องเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อพูดคุยเรื่องนี้ให้ชัดเจน ต้องยอมรับว่าญี่ปุ่นมีบุญคุณกับเรามายาวนาน มาลงทุนในประเทศไทยสูงสุดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา มีซัพพลาย เชน ที่มั่นคงและยิ่งใหญ่ แต่เป็นภาคอุตสาหกรรมที่ยังไม่เป็นสีเขียวมากเท่าที่จะเป็น
ฉะนั้นการที่จะต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกสีเขียวยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องพูดคุยกัน และต้องให้แน่นอนว่าในฐานะผู้มี บุญคุณกับประเทศไทย เราต้องเดินไป ข้างหน้าด้วยกัน เราต้องอยู่ด้วยกันให้ได้ แต่แน่นอนแก่นสารหลักคือเราต้องเป็นประเทศที่สนับสนุนอุตสาหกรรมที่เน้นเรื่องพลังงานสะอาด ที่พูดไปเพื่อเป็นการกระตุกให้คิดถึงหลายๆ เรื่องเดี๋ยวจะพลาดไป
อีกประเด็นที่สำคัญในเรื่องดึงดูด นักลงทุนคือเรื่องค่าไฟฟ้า ซึ่งทุกคนมีความเดือดเนื้อร้อนใจอยู่พอสมควร รัฐบาลจึงต้องดึงค่าไฟลงมาในระดับสามารถแข่งขันได้ จึงได้พูดคุยกับหลายหน่วยงาน โดย เป้าหมายที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ตั้งไว้คืออยากให้ค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 4.10 บาทต่อหน่วย ซึ่งเชื่อว่าน่าจะทำได้ ต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่อยากให้กระทบกับหลายภาคส่วน ตรงนี้ต้องเห็นใจด้วย
ประกาศเผายาเสพติดครั้งใหญ่
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ นายเศรษฐาตอบคำถามในการเสวนาหัวข้อ “คนไทยถาม นายกฯ เศรษฐาตอบ” ถึงการแก้ปัญหา ยาเสพติด แบ่งเป็น 2 ทาง คือ เรื่องซัพพลาย ที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน เราต้องตัดซัพพลายให้ได้ก่อน โดยทหารและฝ่ายความมั่นคงจะต้องตัดซัพพลายตรงนี้ เมื่อจับและยึดได้ ตามกฎหมายเก่ามีประเด็นว่ากว่าจะเผาได้ใช้เวลานานมาก มีการย้ายถิ่นฐานการเก็บรักษายาบ้า อย่างน้อย 2-3 สเต็ป สังคมจึงมีข้อกังขาว่าระหว่างที่มีการย้ายมีการรั่วไหลออกไปอีกหรือไม่ มีการพูดคุยกันว่าต่อไปนี้จับได้พิสูจน์ได้ให้เก็บไว้แล้วเผาทันที โดย ในวันที่ 26 ธ.ค.นี้จะมีการประกาศเผา ยาเสพติดครั้งใหญ่ หลังจากที่เราได้ประกาศไปแล้ว และได้ไปคุยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งประเทศลาวและกัมพูชา ได้พูดคุยกันอย่างซีเรียสว่าทุกคนเห็นพ้องกันว่าต้องขจัดออกไป
ถามว่าการจัดการกับปัญหายาเสพติด มีเคพีไอว่าอีก 4 ปีรัฐบาลเศรษฐาจะพลิกโฉมการแก้ปัญหายาบ้าอย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า ที่บอกว่าปัญหาลดไป 50% หรือหมดไปพบว่าความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องให้เคพีไอว่าภายใน 4 ปีนี้จะต้องหมดไป
บี้เอกชนขึ้นค่าแรง-ไม่หายนะ
นายเศรษฐาตอบคำถามถึงเงินเดือน ขั้นต่ำปริญญาตรี 25,000 บาท จะเริ่มได้เมื่อไรว่า เรื่องเงินเดือนขั้นต่ำ ปัจจุบันอยู่ที่ 15,000 บาทมาหลายปีแล้ว เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมานายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯและรมว.ต่างประเทศ ประกาศชัดเจนว่าจะขึ้นอย่างไร คาดหวังว่าภายใน 4 ปีจะขึ้นไปถึง 25,000 บาท พอประกาศออกไปได้รับการยอมรับที่ดีพอสมควร และคิดว่าเป็นมาตรฐานที่ดีในการที่ภาคเอกชนจะนำไปปฏิบัติ และขึ้นค่าจ้างให้ คนไทยมีรายได้ที่เหมาะสม มีศักดิ์ศรีในการที่จะไปทำงาน
ทุกคนทราบดีว่ารัฐบาลไม่เห็นด้วยกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ประกาศออกไป อย่างในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ปรับขึ้นเพียง 2 บาท ไข่ไก่หนึ่งฟองจะได้หรือเปล่ายังไม่รู้ ตนฟังดูแล้วรับไม่ได้ ตนขอใช้ เวทีนี้สื่อสารบางเรื่องไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ลึกกว่านั้นคือปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม และความแตกแยก จะอ้างเรื่องมติคณะกรรมการไตรภาคีหรือนายกฯ ไม่มีอำนาจในการแทรกแซง คุณจะพูดอะไรคุณพูดได้หมด แต่เราอยู่บน พื้นฐานของความเป็นจริงดีกว่าว่าเหมาะสมหรือเปล่าในการที่ค่าแรงขึ้นไปขนาดนั้น และจะทำให้ธุรกิจถึงกับหายนะหรือไม่ หากมีการขึ้นค่าแรงที่เหมาะสม
ท่านไปดูแล้วกันขึ้นค่าแรง 300 บาทมา 9 ปีที่แล้ว วันนี้ค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ย 337 บาท เรียกว่า 10 ปีให้หลังขึ้นมาแค่ 37 บาท หรือขึ้นไปประมาณ 12% ถ้าลูกท่านจบมาจากเมืองนอก 10 ปีที่แล้วเงินเดือน 30,000 บาท หากทุกวันนี้เงินเดือน 33,700 บาทท่านรับได้หรือไม่ บางจังหวัดขึ้น 2 บาท บางโซนขึ้น 7 บาท 5 บาท ซึ่งท่านรัฐมนตรีมาจากภาคประชาชนและการเลือกตั้งจากประชาชนท่านรับได้ไหมค่าแรงขึ้นแบบนี้
ค่าไฟลดแน่-แฉมีคนล็อบบี้
ส่วนความคืบหน้ามาตรการนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท นายเศรษฐากล่าวว่า ตามที่ได้ออกแบบผ่านกลไกให้ตรวจสอบได้ ทั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา ผ่านสภา เพื่อให้ฝ่ายบริหารถูกซักถาม และให้สังคมหมดข้อกังวล โดยจะเริ่มอย่างเร็วที่สุดในเดือนพ.ค.2567 ส่วนแหล่งเงินที่ใช้ในโครงการ จะออกเป็นพ.ร.บ.เงินกู้ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินดิจิทัลวอลเล็ตอย่างเดียว จะมีการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยอีก 100,000 ล้านบาท เพื่อนำไปดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย และทำควบคู่กันไปกับดิจิทัลวอลเล็ต
ต่อข้อถามว่าชาวบ้านอยากให้รัฐบาลลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ค่าน้ำมัน ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า มากกว่าในปัจจุบันได้หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องราคาน้ำมันปรับตามราคาตลาดโลกอยู่แล้ว ส่วนเรื่องค่าไฟในเวลานี้กำลังดูแลด้านพลังงาน ให้ประชาชนอยู่ จะดูแลให้ค่าไฟต่ำกว่า 4.20 บาทต่อหน่วย เชื่อว่าภาคอุตสาหกรรมจะพอใจ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดูแลพี่น้องประชาชน เบื้องต้นค่าไฟจะต่ำกว่าหน่วยละ 4.20 บาท และในระยะยาวต้องดูเรื่องโครงสร้างทั้งหมดและต้องบูรณาการร่วมกัน
เวลา 11.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐากล่าวในการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2566 ว่า ขอบคุณ ทุกหน่วยงานที่ทำข้อเสนอเข้ามา ที่จะทำให้ค่าไฟต่ำกว่า 4.20 บาทต่อหน่วย ให้ได้ แต่ให้ดูเพื่อความเหมาะสม เพราะไม่อยากให้เป็นผลกระทบเชิงลบเกิดขึ้นกับความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในภาคธุรกิจ ตลาดทุน นักลงทุนต่างชาติ ระหว่างนี้มีคนโทร.เข้ามาล็อบบี้หลายคน แต่เราต้องยึดมั่นประชาชนเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ ข้อเสนอที่จะช่วยเหลือ ผู้ที่ใช้ไฟน้อยกว่า 300 หน่วย จำนวน 17 ล้านหลัง ได้เอามาพิจารณาเพื่อให้สามารถยังคงค่าไฟให้ได้ 3.99 บาทต่อหน่วย เท่ากับปัจจุบันนี้ ถือเป็นข้อเสนอที่ดี
ขอโทษบิ๊กททท.-พูดไม่รื่น
เวลา 13.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายเพื่อกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวในประเทศ โดยมีน.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ ผู้บริหารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมรับมอบนโยบาย
นายเศรษฐากล่าวว่า การท่องเที่ยวถือว่าเป็นกลไกสำคัญที่สุด ตนพยายามหลีกเลี่ยงคำว่า Quick Win เพราะมีคนนำไปใช้เป็นวาทกรรมเยอะ แต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด เพราะการท่องเที่ยวเป็น องค์ประกอบสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หากตนมอบนโยบายแล้วใครไม่สบายใจ หรือข้องใจนโยบายไหนสามารถพูดคุยกัน เพราะตนไม่อยากมาสื่อสารเพียงฝ่ายเดียว
เราต้องส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น ไฮซีซั่นตลอดทั้งปี และให้นักท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอยมากยิ่งขึ้น การส่งเสริมการท่องเที่ยวไม่เพียงแต่พื้นที่เศรษฐกิจหลัก เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ หัวหิน แต่ต้องมีการกระตุ้นการใช้จ่ายในเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้สู่เมืองรองมากยิ่งขึ้น โดยเน้นจุดเด่นของแต่ละพื้นที่ในการดึงดูด นักท่องเที่ยว สร้างแลนด์มาร์กใหม่ๆ ขอให้ช่วยหาจุดแข็งจุดเด่นและที่เป็น ซอฟต์พาวเวอร์ของแต่ละที่นำมาโปรโมตในทิศทางที่ถูกต้อง สำหรับตัวชี้วัด ไม่อยากให้ท่านเข้าใจผิดว่าวัดจากจำนวนคน แต่อยากให้มองเรื่องจำนวนเงินที่สะท้อนถึงผลสำเร็จที่เราได้จากการท่องเที่ยว หากมีอะไรติดขัด หรือมีอะไรอยากจะเรียกร้อง ผู้ว่าฯ ททท.สามารถสายตรงกับตนได้ตลอด
“หากผมพูดอะไรไม่รื่นหู หรือตรงไปตรงมามากเกินไปก็ขอโทษ แต่ผมมีเจตนา รู้ซึ้งถึงปัญหาที่ท่านประสบอยู่ เข้าใจถึงศักยภาพที่ประเทศชาติมีอยู่ ผมจึงต้องการดึงศักยภาพออกมา วันนี้ถึงได้มีการพูดคุยกัน เพราะประชาชนมีความคาดหวังกับพวกท่านสูง และผมมีความมั่นใจและ เชื่อมั่นในตัวผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงขอฝากการท่องเที่ยวไว้ในมือพวกท่าน” นายเศรษฐากล่าว
ภายหลังมอบนโยบายแล้ว นายเศรษฐาได้ยืนพูดคุยกับ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬาและผู้ว่าฯ ททท. หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยติติงการทำงานของผู้ว่าฯ ททท.

เที่ยวกาชาด – นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ พร้อมด้วยรมต.บางส่วน เดินเที่ยวชมงานกาชาด 2566 ครบรอบ 100 ปี โดยแวะร้านหน่วยงานต่างๆ ร่วมสนุกเล่นเกมและเสี่ยงโชคอย่างสนุกสนาน ที่สวนลุมพินี กทม. เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.
ควงรมต.เดินงานกาชาด
เวลา 19.00 น. ที่สวนลุมพินี นายเศรษฐา พร้อมด้วยนายไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์ นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม นายจักรพงษ์ แสงมณี รมช. ต่างประเทศ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เยี่ยมชมงานกาชาด 2566 ครบรอบ 100 ปี จัดภายใต้แนวคิด “รื่นรมย์สุขฤดี ณ ที่แห่งการให้” ระหว่างวันที่ 8-18 ธ.ค.
นายเศรษฐาได้ร่วมกิจกรรมการกุศลตามบูธต่างๆ เช่น แวะบูธของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ซึ่งจัดกิจกรรมเกมปาโป่งและเกมตักไข่นำโชค ซึ่งนายกฯ ได้ร่วมตักไข่นำโชค ได้รางวัลปลอบใจเป็นสบู่ ยาสระผม และแป้ง เลือกได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งนายกฯ บอกว่า “ดีเลยกำลังต้องการการปลอบใจบ้าง” ผู้สื่อข่าวถามว่ามีเรื่องอะไรถึงต้องการการปลอบใจเป็นพิเศษ นายเศรษฐาได้แต่ยิ้ม
ระหว่างที่นายกฯ เดินเยี่ยมชมงานกาชาดได้กล่าวว่า “รู้สึกครึกครื้นดี กับกิจกรรมหลากหลายกิจกรรม” และใช้เวลาเดินชมงานกว่า 1 ชั่วโมง มีประชาชนให้ความสนใจและขอถ่ายรูปกับนายกฯ เป็นที่ระลึก บางคนพูดให้กำลังใจในการทำงานในการบริหารราชการแผ่นดินด้วย
หนักใจศก.ปีหน้า-ยังวิกฤต
นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงคำนิยามของเศรษฐกิจในปี 2567 ว่า “หนักใจ” ผู้สื่อข่าวถามว่า หนักใจเรื่องอะไรบ้าง นายเศรษฐากล่าวว่า หนักใจเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก อย่างที่ทราบกันดี ส่วนตัวคิดว่าเศรษฐกิจในช่วงนี้เป็นช่วงวิกฤต ซึ่งทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว เรื่องค่าแรงที่ยังต่ำอยู่ และยังมีอีกหลายๆ เรื่อง ต่อข้อถามว่า นอกจากเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่หนักใจแล้ว ยังมีเศรษฐกิจเรื่องอื่นที่หนักใจอีกหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า มีหลายเรื่องเต็ม ไปหมด
ผู้สื่อข่าวถามถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ที่คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 หรือบอร์ดไตรภาคี เห็นชอบการปรับอัตราค่าจ้าง ขั้นต่ำ ปี 2567 เพิ่มขึ้นวันละ 2-16 บาท ซึ่งหลายฝ่ายเป็นห่วงจะกระทบต่อการลงทุน นายเศรษฐากล่าวว่า ห่วงใยตลอด แต่ไม่ได้ห่วงใยว่าจะมีผลกระทบต่อการลงทุน เพราะการลงทุนเรื่องพลังงานสะอาด เชื่อว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่า จะต้องมีการเร่งเจรจาในเรื่อง เอฟทีเอ เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รวมทั้งต้องให้ความสำคัญกับ ช่องทางการค้าตามแนวชายแดน จะต้อง มีบุคลากรที่มีความพร้อมในการที่จะให้ ต่างชาติเข้ามาลงทุน การมีแรงงานที่มีคุณภาพ
ดับฝันปชป.ร่วมรบ.-314 เสียงปึ้ก
ต่อข้อถามว่าหนักใจเรื่องการเมืองในปี 2567 หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าการเมืองมีเสถียรภาพพอสมควร และปัจจุบันนี้บรรยากาศทางการเมือง ตนเชื่อว่าสามารถพูดคุยและโอภาปราศรัยกัน ได้ดี มีการพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ผู้สื่อข่าวถามว่า การบริหารงานเพิ่งผ่านมา 3 เดือน ทำไมมีกระแสข่าวว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประเมินว่าจะมีการปรับ ครม.ในช่วงเวลาใด นายเศรษฐา กล่าวว่า “ขอเป็นคำถามต่อไปครับ”
เมื่อถามว่า หลังพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ เกิดกระแสข่าวว่า จะเข้ามาร่วมรัฐบาล นายเศรษฐากล่าวว่า ตนไม่ไปก้าวก่ายในพรรคอื่น และเขาเองต้องเคารพการตัดสินใจของเขา ปัจจุบันเรามี 314 เสียง มันเยอะอยู่แล้ว ตรงนี้ต้องให้เกียรติทางพรรคร่วมรัฐบาล และให้เกียรติกับพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เชื่อว่าเป็นการบริหารจัดการภายในของเขา อีกทั้งนายเฉลิมชัย เพิ่งเข้ามาได้ 2-3 วันเอง ต้องให้โอกาสเขาทำงาน และบริหารพรรคไปก่อน
โยนนิรโทษเป็นเรื่องสภา
นายเศรษฐากล่าวถึงมุมมองเรื่องการ เสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมในการสลายสีเสื้อว่า การนิรโทษกรรม การปรองดองระหว่างประชาชนทั้งประเทศ เชื่อว่าเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเกิดขึ้นได้ในรัฐบาลชุดนี้ จะทำให้ประเทศเดินหน้าไปข้างหน้าได้อย่างปลอดภัยและมีเสถียรภาพ ซึ่งรัฐบาลนี้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมีสส. ฉะนั้นเรื่องการนิรโทษกรรมเป็นเรื่องของรัฐสภาและฝ่ายนิติบัญญัติ
เมื่อถามว่าเคยมีความพยายามนิรโทษกรรมมาแล้วหนึ่งครั้ง ดังนั้นความแตกต่างระหว่างครั้งนั้นกับครั้งนี้เป็นอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า แต่ละกรรมก็ต่างวาระกันไป พบว่าเรามีการเรียนรู้ว่าเรื่องอะไรที่สังคม รับได้และรับไม่ได้ ฉะนั้นเชื่อว่าด้านรัฐสภา ฝ่ายนิติบัญญัติทราบดีอยู่ว่าทุกท่านมาจากการเลือกตั้งและทุกคนฟังเสียงประชาชน ฉะนั้นตรงนี้ตนเชื่อว่าทุกคนมีการเรียนรู้มาแล้ว

ลดอุบัติเหตุ – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ แถลงหลังประชุมวางแผนลดอุบัติเหตุช่วงปีใหม่ ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 13 ธ.ค.
‘อนุทิน’ยันแตะม.112-เลิกคุย
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ให้สัมภาษณ์กรณีนายนิกร จำนง ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 เสนอให้มีการเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในนามพรรคร่วมรัฐบาลว่า พรรคภูมิใจไทยมีจุดยืนชัดเจนว่าไม่แตะ 112
ผู้สื่อข่าวถามว่า คดีทุจริตที่เกิดขึ้น ในช่วงความวุ่นวายทางการเมืองจะนำมาพิจารณาด้วยหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ต้องรอว่าจะมีการหารือในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ แต่จุดยืนพรรคภูมิใจไทยเหมือนเดิม คือเราไม่มีปัญหากับกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ต่อข้อถามว่า สำหรับคดีความต่างๆ สามารถ พูดคุยกันได้ใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ขอหารือกันก่อนว่าแก้ 112 หรือไม่ ถ้าแก้ก็ไม่ได้
ต่อข้อถามว่า เห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ที่เสนอตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขึ้นมาเพื่อศึกษาหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ เมื่อถามว่า รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยผลักดันเรื่องนิรโทษกรรมจนรัฐบาลมีปัญหา นายอนุทินกล่าวว่า “นานไปแล้วจำไม่ได้ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าการเมืองเลย เอาปัจจุบันดีกว่า”
ให้กำลังใจ‘เฉลิมชัย’
นายอนุทินกล่าวกรณีพรรคประชาธิปัตย์มีสมาชิกลาออกจำนวนมาก หากมา ร่วมงานพรรคภูมิใจไทยจะรับหรือไม่ว่า พรรคภูมิใจไทยยังไม่คิดเรื่องนี้ เวลาใครมีปัญหาถ้าเป็นพรรคพวกกันเราต้องแสดงความเห็นใจ ส่งกำลังใจไปให้ อะไรที่เราช่วยเหลือได้ควรต้องช่วย ต่อข้อถามว่า การที่นายเฉลิมชัยขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นคู่แข่งที่สำคัญ ของพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “ผมสนิทกับท่านเฉลิมชัย รักกันมากด้วย ทำงานร่วมกันมาในรัฐบาลตั้ง 4 ปี ฉะนั้น ผมต้องให้กำลังใจท่าน เราต่างคนต่างทำหน้าที่ เราไม่ได้มองเป็นคู่แข่ง บทบาทหน้าที่ในการหาเสียงเลือกตั้งเป็นบทบาทของแต่ละพรรค ไม่มีนายเฉลิมชัย ก็มีคนอื่นอีก อย่าไปคิดว่าเป็นคู่แข่งกันเลย”
เมื่อถามว่า หลังจากนายเฉลิมชัย ได้เป็นหัวหน้าพรรค ได้คุยกันบ้างหรือยัง นายอนุทินกล่าวว่า ตนโทร.ไปแสดงความยินดีแล้ว เมื่อผู้สื่อข่าวกระเซ้าว่าได้พูดคุยชักชวนมาร่วมรัฐบาลกันหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “ไม่มี อย่าเพิ่งเลย ให้ท่านได้บริหารจัดการให้เรียบร้อยก่อน”
นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีกระแสข่าวว่าหากพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลอาจมีการปรับครม.ว่า คิดว่าต้องแล้วแต่แนวทางของพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งเป็นพรรคใหญ่ ที่ต้องดูว่าต้องนำพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาร่วมรัฐบาลหรือไม่ แต่หากจะเชิญพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล พรรคร่วมต้องมีการพูดคุยกันก่อน ว่าหากเข้ามาแล้วจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างไร หรือมีการดำเนินการแนวทางอย่างไร เพราะทุกพรรคมีสิทธิและแนวทางที่จะดำเนินการ
สภาแจ้งยอดสส. 499 คน
เวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภา คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้ให้นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวปฏิญาณตนก่อนปฏิบัติหน้าที่ สส. หลังจากได้รับ การเลื่อนลำดับขึ้นมาแทน ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ที่ลาออกจากสส.
นายปดิพัทธ์ชี้แจงว่า ทำให้มีสส.ปฏิบัติหน้าที่ได้ คือ 499 คน ดังนั้นการประชุมต้องมีองค์ประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง คือ 250 คน แต่ขณะนี้ศาลอาญามีคำตัดสิน สส. คนหนึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะ ได้รับการประกันตัวหรือไม่ เพราะมีคำพิพากษาให้จำคุกโดยไม่มีการรอลงอาญา เรื่องจำนวนองค์ประชุมต่างๆ จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สส.ที่ถูกคำพิพากษาให้จำคุก 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา คือ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่ศาลอาญาพิพากษาในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 3, 14
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 18 ก.ค.-9 ส.ค. 2564 จำเลยได้บังอาจดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายในหลวงรัชกาลที่ 10 ด้วยการใช้บัญชีทวิตเตอร์ ไอซ์ หรือ @nanaicez โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการจัดสรรวัคซีนพร้อมรูปภาพ ที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง รัชกาลที่ 10 อันเป็นความผิดตามกฎหมาย หากศาลไม่ให้ประกันตัว ต้องเข้าสู่การคุมขังตามหมายศาล ซึ่งจะขาด คุณสมบัติสส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 ทันที แต่หากได้รับการประกันตัวเท่ากับว่าคดีดังกล่าวจะไม่ถึงที่สุด ยังต่อสู้ในสองศาลที่เหลือได้ สถานะความเป็นสส.จะยังคงมีต่อไป ซึ่งต่อมาศาลอาญาอนุญาตให้ประกันตัว
เขี่ยตกชงร่นถกสมรสเท่าเทียม
ในการประชุมสภา มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม สส.พรรคก้าวไกล ทั้งนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล และนายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ ลุกขึ้นเสนอเลื่อนวาระการประชุมให้ร่างเอาพ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมมาพิจารณาต่อจากพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ภาคประชาชนเป็นผู้เสนอ เพื่อพิจารณาในวันที่ 14 ธ.ค.
ด้านสส.ฝ่ายรัฐบาล เช่น นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ สส.เลย พรรคเพื่อไทย นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นโต้แย้งการเลื่อนระเบียบวาระโดยอ้างว่าพ.ร.บ.สมรส เท่าเทียมอยู่ระหว่างการดำเนินการของรัฐบาล และจะเข้าสู่การพิจารณาในเดือนธ.ค.นี้แน่นอน จึงไม่ควรเลื่อนระเบียบวาระให้เกิดความซ้ำซ้อน
ทำให้นายพิเชษฐ์สั่งให้มีการลงมติว่า จะเลื่อนวาระการประชุมหรือไม่ มีองค์ประชุม 386 คน แต่มีผู้ลงมติ 375 คน โดยมีผู้เห็นด้วย 149 คน ไม่เห็นด้วย 235 คน สุดท้ายการประชุมดำเนินการต่อตามระเบียบวาระเดิม
ก.ก.ขอให้ยืดอภิปรายงบ 67
นอกจากนี้ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภา หารือในสภาว่า ขอให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา เลื่อนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ.2567 ออกไปจากเดิม ที่กำหนดไว้ในวันที่ 3-4 ม.ค.2567 และขอให้ยึดแนวทางของนายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตประธานสภา ที่ขอให้เวลาเจ้าหน้าที่ และสส. ดำเนินการวิเคราะห์งบประมาณให้ถ้วนถี่ หากพิจารณาในช่วงดังกล่าว อาจจะทำงานไม่ทัน เนื่องจากติดช่วง วันหยุดยาววันขึ้นปีใหม่ได้
“หากเลื่อนพิจารณาวาระแรกแล้ว เชื่อว่าจะไม่กระทบการพิจรณาร่างพ.ร.บ. งบประมาณ 2567 ให้ล่าช้า เพราะในวาระสองและวาระสาม สามารถบริหารจัดการให้ปฏิทินทำงานเป็นไปตามกำหนดได้ ผมขอให้ประธานสภาเร่งรัดไปยังหน่วยงาน ซึ่งกมธ.ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณฯ ได้ขอรายละเอียด ต่อการเสนอของบประมาณปี 2567 กว่า 100 หน่วยงาน แต่ขณะนี้มีหน่วยงานที่ส่งข้อมูลให้กมธ. เพียง 20 หน่วยงานเท่านั้น” นายณัฐพงษ์กล่าว
‘ชัยชนะ’จี้นายกฯเร่งนำเข้าสภา
นายชัยชนะ เดชเดโช สส. นครศรีธรรมราช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ.2567 ในวันที่ 3-4 ม.ค.2567 แต่ขณะนี้ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวยังไม่มาถึงสภาผู้แทนราษฎรว่า การพิจารณาจะทันหรือไม่ต้องถามนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ควรเร่งรัดเรื่องนี้ หากปล่อยให้ไม่มี งบประมาณใช้เศรษฐกิจจะแย่ นายกฯ อย่าเอาเวลาคิดเรื่องจะกู้เงิน ไปต่างประเทศ หรือคิดเป็นศรีธนญชัยในแต่ละวัน นายกฯต้องเร่งรัดงบให้ได้ ไทม์ไลน์การใช้งบปี 2567 อยู่ที่เดือนพ.ค. แต่กว่าเงินจะอัดฉีดในระบบเศรษฐกิจประมาณเดือนส.ค.
ดังนั้นนายกฯ ต้องเร่งรัดให้งบปี 2567 เพื่อให้สภาพิจารณาให้ทันในวันที่ 3-4 ม.ค. และหากเข้าได้ในวันดังกล่าว ทางสภาต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในเวลา 105 วัน ซึ่งจะครบในช่วงเดือนมี.ค. ถึงต้นเม.ย. กว่าจะประกาศใช้ก็เดือนพ.ค. หากล่าช้าไปกว่านี้จะชนกับการพิจารณา ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ.2568 ได้
นายกฯนำคณะบินประชุมญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง มีกำหนดเดินทางเพื่อร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น (The Commemorative Summit for the 50th Year of ASEAN-Japan Friendship and Cooperation) ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 14-18 ธ.ค.
การประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสในการฉลองวาระ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ซึ่งมีการเริ่มอย่างไม่เป็นทางการในปี 2516 และปีนี้เป็นปีแห่งการแลกเปลี่ยนระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น และมีการประกาศตราสัญลักษณ์ทางการและคำขวัญ “Golden Friendship, Golden Opportunities”
นายกฯ จะแสดงวิสัยทัศน์ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศไทย และเป็นประโยชน์ร่วมกันในภูมิภาค นายกฯตั้งใจจะใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดจากโอกาสการพบปะกับนายกฯ ญี่ปุ่น นายคิชิดะ ฟูมิโอะ ในส่วนของเศรษฐกิจ เชิญชวนญี่ปุ่นให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคและไทย โดยเฉพาะการเติบโตสีเขียว การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและดิจิทัล รวมถึงประชาสัมพันธ์นโยบายและโครงการสำคัญของไทย เช่น แลนด์บริดจ์ การพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า และซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมนำเสนอศักยภาพของประเทศไทยในกรอบการค้าการลงทุนที่น่าสนใจ โดยจะพบหารือกับ สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (Keidanren) พบหารือกับประธานองค์การส่งเสริมการค้า ต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) และพบหารือกับบริษัทเอกชนสำคัญระดับโลกของญี่ปุ่น แบ่งเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลการเกษตร ธุรกิจการค้า