‘น่าน’ชูป้ายพรึบรอเงินดิจิทัลเน้อ มท.เร่งไกล่เกลี่ยลดแล้ว103ล้าน ไหม-กก.พร้อมถลกงบประมาณ

‘เศรษฐา’บินไปติดตามเจรจาแก้หนี้นอกระบบที่น่าน อึ้งลูกหนี้จ่ายทบต้นมากกว่าเงินเดือนนายกฯ สั่งดำเนินคดีตามกฎหมาย ผุดไอเดีย “จังหวัดจัดตลาดนัดแก้หนี้” ชาวบ้านแห่รับ ชูป้ายเชียร์พรึบ บอกรอเงินดิจิทัลอยู่ มหาดไทยเผยผลไกล่เกลี่ยหนี้นอกระบบสำเร็จแล้ว 324 ราย มูลหนี้ลดลงร่วม 103 ล้านบาท นายกฯ แจงเรียก รมว.ยุติธรรมหารือ ไร้ปม ‘ทักษิณ’ อยู่ร.พ.ตำรวจครบ 120 วัน ชี้ระเบียบราชทัณฑ์เริ่มตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ ไม่เกี่ยวเอื้อประโยชน์ใคร กมธ.ตำรวจลั่นไม่กลัวโดนฟ้อง ขอเดินหน้าบุกตรวจสอบ ‘ทักษิณ’ ด้านศิริกัญญา พร้อมถลกงบปี 67 เปิดผลสำรวจไลน์ทูเดย์ ‘พิธา’ คว้านักการเมืองแห่งปี- ไม่ได้เป็นนายกฯ คดีหุ้นไอทีวีคือข่าวแห่งปี

เศรษฐาบินน่าน-ติดตามแก้หนี้
เมื่อเวลา 10.25 น. วันที่ 23 ธ.ค. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พร้อมคณะ ประกอบด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เดินทางลงพื้นที่จ.น่าน เพื่อติดตามการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในพื้นที่จ.น่าน และร่วมรับฟังการแก้ปัญหาหนี้ระหว่างประชาชนกับหน่วยงานราชการ

ต่อมาเวลา 12.00 น. นายกฯ และคณะเดินทางถึงท่าอากาศยานน่านนคร โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่รอให้การต้อนรับ

รับนายกฯ – นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ยิ้มแย้มยกมือไหว้ทักทายชาวบ้านที่รอต้อนรับ ระหว่างไปติดตามประเด็นการเจรจาแก้ไขหนี้นอกระบบ ที่หน้าศาลากลางจังหวัดน่าน โดยนายกฯ เตรียมผุดตลาดนัดแก้หนี้ทุกจังหวัด เมื่อ 23 ธ.ค.

ป้ายเชียร์พรึบ-บอกรอเงินดิจิทัล
จากนั้นเวลา 13.50 น. นายเศรษฐาพร้อมคณะเดินทางถึงศาลากลางจังหวัดน่าน ด้วยรถยนต์โตโยต้า อัลพาร์ด ทะเบียน กฉ 5353 น่าน โดยมีประชาชนจำนวน 200 คนรอต้อนรับ พร้อมถือป้ายข้อความระบุว่า รักนายกฯ นิดๆ แต่จะฮักนายกฯ นานๆ, ขอให้ท่านนายกฯ มีสุขภาพแข็งแรงอยู่แก้ปัญหา และบริหารประเทศไปนานๆ รักท่านครับ, หมู่เฮาจาวเวียงสา ขอต้อนฮับท่านนายกฯ, +1 โครงการดีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบนายกสู้ๆ, นายกฯ เศรษฐาสู้ๆ เพื่อประชาชน, Love นายกฯ, FC นายกฯ, คนน่านขอบคุณนายกฯ ที่ช่วยแก้ปัญหา หนี้นอกระบบ, พวกเราคนภูเพียงสนับสนุน นายกฯ เศรษฐา, เรารักนายกฯเศรษฐา เป็นต้น โดยนายกฯ ได้เดินทักทายประชาชน

ขณะที่ช่วงหนึ่งชาวบ้านตะโกนบอกว่า ยังรอเงินดิจิทัลอยู่ ซึ่งนายกฯ ตอบกลับว่า “ครับ”

ลั่นรัฐบาลต้องแก้หนี้ให้สำเร็จ
จากนั้นนายกฯ เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในพื้นที่จ.น่าน โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า การมา จ.น่านเป็นจังหวัดแรก เพราะเป็นจังหวัดที่เราวางไว้ว่า จะแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบทั้งหมด วันนี้เราประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาลนี้ ซึ่งหนี้นอกระบบ เป็นปัญหาทุกข์ใจของประชาชน และเป็นปัญหาที่ไม่ใช่ความผิด มันไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากการพนันหรือการไปซื้อยาเสพติด แต่เป็นปัญหาเศรษฐกิจที่เรารู้กันดีว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันเป็นปัญหาใหญ่ เกิดจากการที่ถูกเรียกหนี้ไม่เป็นธรรม ถูกชาร์จดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรมและไม่ได้รับการดูแลจากหน่วยงานรัฐที่ควรจะต้องดูแล

นายกฯ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ จ.น่าน มีคนมาแจ้งแล้ว 500 กว่าราย และมีมูลหนี้ 33 ล้านบาท ตนอยากให้หน่วยงานความมั่นคง นั่งหัวโต๊ะเรียกเจ้าหนี้และลูกหนี้มาให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายโดยเอากฎหมายเป็นที่ตั้ง หากเราทำได้ และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ตนคิดว่า สิ่งดีๆ จะเกิดขึ้น

“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลนี้ กำหนดว่าเป็นเรื่องที่เราต้องทำให้สำเร็จ เรามาที่นี่ ก็เป็นแพลตฟอร์มที่ให้เดินต่อไป และขอให้กระทรวงมหาดไทยกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะเชื่อว่าปัญหายาเสพติด ปัญหาพนันออนไลน์ ปล้นจี้ ตรงนี้จะได้รับการแก้ไขเชื่อมโยงไปด้วย ผมขอฝากความหวังกับทุกคน อยากให้คืน รอยยิ้มให้กับประชาชนคนไทยทุกคน” นายกฯ กล่าว

ผุดไอเดียจัดตลาดนัดแก้หนี้
ช่วงหนึ่ง นายกฯ ได้ท้วงติงว่า ตัวเลขจำนวนลูกหนี้ที่มีแจ้งมากว่า 500 กว่าราย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ มีการนำเข้าสู่ระบบ ถือว่าน้อยมาก มีเพียง 100 กว่ารายเท่านั้น ฉะนั้น ตนเสนอให้ใช้กลไกของกำนันและผู้ใหญ่บ้านลงพื้นที่ไปดูและติดตาม และขอฝากอธิบดีกรมการปกครองด้วย ถ้าเขาคุณสมบัติไม่ครบตัดออกไป ปัญหาก็จะไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งนี้ ตนไม่ได้ดูตัวเลข 500 กว่ารายที่แจ้งมา แต่ตนดูตัวเลข 100 กว่ารายที่เข้าสู่ระบบการเจรจา และหากเป็นไปได้ อาจจัดตลาดนัดแก้หนี้ ที่ศาลากลางจังหวัด จัดเป็นอีเวนต์ทุกวันที่ 15 หรือวันเสาร์และอาทิตย์ เป็นต้น เพื่อให้ฝ่ายเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้มาพูดคุยกัน รวมถึงธนาคาร ซึ่งตรงนี้ตนถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี

นายกฯ ยังเสนอว่าหากนำลูกหนี้และเจ้าหนี้เข้าสู่การเจรจาได้ 300-400 ราย จะถือเป็นตัวเลขที่เรียกความมั่นใจได้ดีกว่า ซึ่งมันประหลาด หากเขาเดือดร้อนแต่ข้อมูลไม่ครบ อาจจะขาดข้อมูลนิดเดียวแต่ตัดเขาออกไปและไม่ยอมเรียกมา ตนฝากให้อธิบดีกรมการปกครองให้ดูเรื่องนี้

ย้ำบ้านเมืองมีกม.-พร้อมช่วยเหลือ
จากนั้นนายอนุทินกล่าวว่า ขอเรียนไปยังผู้ว่าฯ และนายอำเภอ ว่าข้อสั่งการของกระทรวงมหาดไทยมีความชัดเจนอยู่แล้ว ขอให้กำนันผู้ใหญ่บ้านและอำเภอจัดทีมออกไปสำรวจ เพราะอาจมีประชาชนที่ไม่กล้าลงทะเบียน เพราะกลัวถูกข่มขู่ ดังนั้นเราต้องกระตุ้น ลงพื้นที่ไปตามที่นายกฯ สั่งการ เดี๋ยวจะหาว่าต้องมานั่งฟังนายกฯ ชี้นำ เพราะกระทรวงมหาดไทยมีข้อสั่งการในเรื่องนี้อยู่แล้ว และเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตามข้อสั่งการของกระทรวงที่มีลำดับอยู่แล้ว

ต่อมาเวลา 14.30 น. นายกฯ ร่วมรับฟังการแก้ปัญหาหนี้ระหว่างประชาชน (ลูกหนี้) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดย นายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า เข้าใจว่าที่ผ่านมาบ้านเมืองพบกับปัญหาเศรษฐกิจ โควิด-19 อาจทำให้หลายคนต้องไปพึ่งพาหนี้นอกระบบ วันนี้จึงมาพูดคุยพร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะมาแก้ไขปัญหา ยืนยันว่าบ้านเมืองมีขื่อมีแป รัฐบาลพร้อมให้การช่วยเหลือ

น่านมียอดลงทะเบียน 563 ราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ จ.น่าน มีผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ ข้อมูลวันที่ 22 ธ.ค. ลูกหนี้ 563 ราย เจ้าหนี้ 518 ราย ยอดหนี้มูลค่ารวม 33,041,242 บาท สาเหตุการเป็นหนี้ 5 อันดับแรก ได้แก่ ด้านอุปโภค 602 ราย ด้านการลงทุน 496 ราย ต่อเติมที่อยู่อาศัย 109 ราย ค่าเทอม 288 ราย และการพนัน 17 ราย

ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหา มีลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย 52 ราย คิดเป็น 32.70% ไกล่เกลี่ยสำเร็จ 4 ราย อยู่ระหว่างไกล่เกลี่ย 48 ราย และให้รัฐจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 28 ราย คิดเป็น 17.61% รวมผลการแก้ไข ให้ความช่วยเหลือแล้ว 80 ราย คิดเป็น 50.31%

สั่งมท.เร่งติดตามลูกหนี้เข้าระบบ
เวลา 14.50 น. ที่ศาลากลางจังหวัดน่าน นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ภายหลังการลงพื้นที่จ.น่าน ติดตามการแก้หนี้นอกระบบว่า ปัจจุบันจ.น่าน มีการขึ้นทะเบียนเรื่องการแก้ไขหนี้นอกระบบแล้วประมาณ 500 ราย ซึ่งมีการติดตามเจรจาเพียง 100 กว่ารายเท่านั้น มูลค่าหนี้ 33 ล้านบาท ถือว่าหลังเปิดลงทะเบียนในวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมาเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่เป็นเจ้าภาพ แต่ต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรให้ ดีขึ้นกว่านี้อีก ซึ่งปัจจุบันแม้จะมีการขึ้นทะเบียนกว่า 500 ราย แต่ติดตามได้เพียง 100 กว่าราย ตนมองว่าน้อยไป อาจมีข้อมูลบางส่วนขาดหายไป ตนจึงสั่งการไป และนายอนุทินได้สั่งการกระทรวงมหาดไทยให้ลงไปติดตามบุคคลเหล่านี้ หากนายอำเภอไม่พอ ให้ใช้กำนันผู้ใหญ่บ้าน เพื่อดึงเข้าระบบในการไกล่เกลี่ยหนี้สินให้ได้

สั่งเคลียร์ให้จบ-ฟันตามกม.
นายเศรษฐากล่าวต่อว่า ได้หารือกับรองนายกฯ ในการจัดตลาดนัดแก้หนี้นอกระบบ โดยใช้วันหยุดเสาร์หรืออาทิตย์ ที่บริเวณศาลากลางจังหวัด มีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายปกครอง กระทรวงการคลัง มาเปิดรับฟังปัญหาอย่างบูรณาการ พร้อมกับยกตัวอย่างลูกหนี้นอกระบบที่มีเงินกู้อยู่ 80,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยวันละ 4,000 บาท ซึ่งจ่ายมาหลายปีแล้ว ยอดรวมหลายแสนบาท หากคูณดอกเบี้ยวันละ 4,000 บาท 30 วัน คูณออกมาแล้วเยอะกว่า เงินเดือนนายกฯ ซึ่งฟังแล้วเป็นเรื่องน่าเศร้า กรณีนี้ตนได้สั่งการผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ต้องเจรจาแล้วจบเลย เนื่องจากที่ผ่านมามีการจ่ายทบต้นแล้วหลายหน พร้อมดำเนินคดี แต่ฝั่งลูกหนี้เองกังวลเรื่องความปลอดภัย ซึ่งตนและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับรองความปลอดภัย จะเกิดอะไรขึ้นกับลูกหนี้ไม่ได้ ซึ่งกรณีนี้จะเป็นตัวอย่างในการแก้ไขหนี้อย่างบูรณาการ

นายกฯ กล่าวขอบคุณพื้นที่ที่จัดการพูดคุยอย่างจริงจัง การจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูง ตนมองว่าเกินไป อยู่ไม่ได้ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลนี้ ต้องขจัดปัญหาให้หมดไป และยืนยันเคียงข้างประชาชน

เมื่อถามถึงกรณีที่ลูกหนี้จ่ายดอกเบี้ยทบต้น เกินกว่าอัตรายอดหนี้ และดอกเบี้ยตามกำหนด จะมีโอกาสทวงคืนค่าส่วนต่างหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องนี้ต้องดำเนินคดี เป็นเรื่องของขั้นตอนตามกฎหมายไป

ย้ำดูแลความปลอดภัยให้ลูกหนี้
เมื่อถามว่าจะสร้างความมั่นใจให้กับลูกหนี้อย่างไร เรื่องข้อกังวลของความปลอดภัย นายเศรษฐากล่าวว่า รัฐบาลให้ความมั่นใจแล้ว และตนได้พูดคุยกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 5 ก็ยืนยันและตนเชื่อว่าเรื่องนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติในวันที่ 28 ธ.ค.นี้ และตนจะไปย้ำอีกครั้งในที่ประชุม เนื่องจากต้องให้ความปลอดภัยกับลูกหนี้ทั้งหมด

เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าปัญหาหนี้นอกระบบ นอกจากเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล แล้วยังเกี่ยวข้องกับคนมีสีเข้าไปสนับสนุนนั้น นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ และเชื่อว่าทุกคนพยายามทำงานอย่างเต็มที่ เมื่อสักครู่ที่ประชุมก็มีการต่อว่าในทำนองนี้ ตนมองว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราต้องทำงานใหม่ วันนี้มีผู้ใหญ่ในรัฐบาลมาหลายท่าน ซึ่งให้ความมั่นใจเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ต้องแก้ไขอย่างตรงไปตรงมา เมื่อถามว่าแต่ถ้าเป็นลูกหนี้ ที่กู้หนี้นอกระบบแต่เก็บอัตราตามกฎหมายกำหนด จะดำเนินการอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า อยากให้ลูกหนี้นอกระบบ เข้าสู่ระบบสถาบันทางการเงินมากกว่า นั่นเป็นหน้าที่ของลูกหนี้ว่าเขาจะเลือกอย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงหนึ่ง มีลูกหนี้คนหนึ่งแสดงความเห็นว่า ไม่มั่นใจกลัวเรื่องความปลอดภัย โดยนายกฯ กล่าวให้ความมั่นใจและเน้นย้ำให้ฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะตำรวจในพื้นที่ ให้ดูแลเป็นพิเศษ แม้แต่เล็บข่วนก็อย่าให้เกิด จากนั้นเวลา 16.32 น.นายกฯ เดินทางถึงกรุงเทพฯ

ยันคุย‘ทวี’ไม่มีเรื่องทักษิณ
นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปจ.น่าน ถึงเย็นวานนี้ (22 ธ.ค.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมเข้าพบที่ตึกไทย คู่ฟ้า มีการตั้งข้อสังเกตว่าเข้าพบเพื่อรายงานกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกฯ ครบกำหนดการพักรักษาพยาบาลนอกเรือนจำ 120 วัน ในวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมาหรือไม่ว่า ที่จริงแล้ว มีหลายท่านมาพบ

เมื่อถามว่ารมว.ยุติธรรมได้รายงานเรื่องนายทักษิณหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ตนเชิญมาถามเรื่องอื่นๆ ทั้งเรื่องหมูเถื่อน และเรื่องหุ้นสตาร์ค ไม่มีเรื่องของนายทักษิณ และไม่มีเรื่อง 120 วัน ซึ่งตนไม่ได้ถาม แต่เชื่อว่ากรมราชทัณฑ์ และร.พ.ตำรวจ มีกฎระเบียบดูแลคนเจ็บคนไม่สบายอยู่แล้ว มั่นใจว่าหน่วยงานทำตามกฎระเบียบตรวจสอบได้

เชื่อระเบียบราชทัณฑ์ไม่ได้เอื้อใคร
เมื่อถามว่าระเบียบราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง 2560 ที่กำหนดสถานที่คุมขังอื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ แต่ขณะนี้สังคมมองว่าระเบียบดังกล่าว เอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ นายเศรษฐากล่าวว่า มันย้อนแย้ง เพราะแนวคิดมีตั้งแต่ปี 2560 ตอนนั้นไม่ใช่รัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตนยังเชื่อว่ากรมราชทัณฑ์ทำถูกต้องตามกฎหมาย

ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่าคณะกรรมาธิการการ (กมธ.) ตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร จะไปตรวจสอบที่ชั้น14 ร.พ. ตำรวจว่า นายทักษิณเข้าพักรักษาตัวจริงหรือไม่ อาจมีปัญหาในเรื่องสิทธิของผู้ป่วยนั้น นายเศรษฐากล่าวว่า ก็ต้องว่าไปตามกฎที่ตั้งไว้ แต่ถ้าไปละเมิดสิทธิ์คงไม่ถูกต้อง

ผู้สื่อข่าวถามว่าการลาพักผ่อนที่ จ.ภูเก็ต เป็นอย่างไรบ้าง นายกฯ ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า “ก็ไปพักผ่อน เพราะลูกชายกลับมา ไม่ได้เจอกันนาน”

เผย 23 วันยอดหนี้พุ่ง6.7พันล.
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งเป็นวันที่ 23 นับตั้งแต่เปิดลงทะเบียน โดยจากข้อมูลของสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง เมื่อเวลา 15.30 น. มีมูลหนี้รวม 6,763.901 ล้านบาท ประชาชนลงทะเบียนแล้ว 107,625 ราย โดยผ่านระบบออนไลน์ 93,865 ราย และการลงทะเบียน ที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขหนี้นอกระบบ 13,760 ราย รวมจำนวนเจ้าหนี้ 78,213 ราย

จังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนมากที่สุด 5 ลำดับแรก 1.กรุงเทพฯ มีผู้ลงทะเบียน 6,781 ราย เจ้าหนี้ 5,814 ราย มูลหนี้ 582.233 ล้านบาท 2.นครศรีธรรมราช มีผู้ลงทะเบียน 4,602 ราย เจ้าหนี้ 3,844 ราย มูลหนี้ 288.011 ล้านบาท 3.สงขลา มีผู้ลงทะเบียน 4,250 ราย เจ้าหนี้ 3,052 ราย มูลหนี้ 263.761 ล้านบาท 4.นครราชสีมา มีผู้ลงทะเบียน 4,135 ราย เจ้าหนี้ 2,662 ราย มูลหนี้ 315.037 ล้านบาท 5.ขอนแก่น มีผู้ลงทะเบียน 2,843 ราย เจ้าหนี้ 2,321 ราย มูลหนี้ 214.730 ล้านบาท

ไกล่เกลี่ยสำเร็จ 324 ราย
จังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนน้อยที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ 1.แม่ฮ่องสอน มีผู้ลงทะเบียน 153 ราย เจ้าหนี้ 117 ราย มูลหนี้ 6.621 ล้านบาท 2.ระนอง มีผู้ลงทะเบียน 225 ราย เจ้าหนี้ 142 ราย มูลหนี้ 15.906 ล้านบาท 3.สมุทรสงคราม มีผู้ลงทะเบียน 286 ราย เจ้าหนี้ 201 ราย มูลหนี้ 9.219 ล้านบาท 4.ตราด มีผู้ลงทะเบียน 357 ราย เจ้าหนี้ 230 ราย มูลหนี้ 12.564 ล้านบาท และ 5.สิงห์บุรี มีผู้ลงทะเบียน 386 ราย เจ้าหนี้ 256 ราย มูลหนี้ 14.943 ล้านบาท

นายสุทธิพงษ์กล่าวต่อว่า สำหรับข้อมูลการไกล่เกลี่ยหนี้นอกระบบทั่วประเทศพบว่ามีลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยแล้ว 1,566 ราย ไกล่เกลี่ยสำเร็จ 324 ราย มูลหนี้ของลูกหนี้ก่อนไกล่เกลี่ย 155.915 ล้านบาท หลังการไกล่เกลี่ย 52.627 ล้านบาท มูลหนี้ลดลง 103.288 ล้านบาท ซึ่งมีจังหวัดที่สามารถนำลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยได้มากที่สุดคือ จ.นครสวรรค์ โดยมีลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย 368 ราย ไกล่เกลี่ยสำเร็จ 8 ราย มูลหนี้ของลูกหนี้ก่อนไกล่เกลี่ย 29.631 ล้านบาท หลังการไกล่เกลี่ย 0.765 ล้านบาท ทำให้มูลหนี้ของพี่น้องประชาชนในจังหวัดลดลงมากถึง 28.866 ล้านบาท

จัดเวทีเปิดเจรจา 3 ฝ่าย
นายสุทธิพงษ์กล่าวอีกว่า วันนี้นายกฯ ลงพื้นที่จ.น่าน ได้มอบแนวทางเพิ่มเติมให้มีพื้นที่พบปะเจรจาระหว่างเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และสถาบันการเงิน โดยมอบหมายให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกัน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยในฐานะเจ้าภาพหลักจะได้รับข้อสั่งการไปขับเคลื่อนขยายผลในทุกพื้นที่ โดยใช้กลไกนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฝ่ายปกครอง และจัดเวทีเจ้าหนี้พบลูกหนี้และนำสถาบันการเงินมาร่วมแก้ปัญหาด้วย ส่วนกรณีเจ้าหนี้ที่เก็บดอกเบี้ยแพงเกินไปเจ้าหน้าที่ก็ต้องเรียกมาเจรจาและดำเนินการทางกฎหมายโดยเด็ดขาด

ชี้อันดับความเชื่อถือของไทยอยู่ A-
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า บริษัท Rating and Investment Information, Inc. (R&I) คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ทั้งนี้ R&I เป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของญี่ปุ่น จัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้และผู้ออกตราสารหนี้ทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ โดยได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ โดยบริษัทให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวด้วยการขับเคลื่อนจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ

R&I เชื่อมั่นการทำงานของรัฐบาล
แม้การขาดดุลทางการคลังจะยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงกว่าก่อนการแพร่ระบาดของโควิด แต่ R&I เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะยังคงบริหารจัดการภาระหนี้สาธารณะให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 และยังมีพื้นที่ทางการคลังคงเหลือเพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินนโยบายการคลัง ภาคการเงินต่างประเทศมีความแข็งแกร่งโดยดุลบัญชีเดินสะพัดปี 2566 คาดว่าจะกลับมาเกินดุลและทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง

“รัฐบาลนายเศรษฐายังคงเดินหน้าแก้ไขปัญหา ดำเนินนโยบายการเงินการคลังอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ และเป็นไปภายใต้กฎระเบียบ โดยนายกฯ เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่น พบปะพูดคุย เชิญชวนนักลงทุนรายสำคัญของโลกเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งเชื่อมั่นว่าการทำงานอย่างเป็นรูปแบบ มีขั้นตอนนี้ทำให้ยังคงความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลสามารถจัดการบริหารปัจจัยต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม” นายชัยกล่าว

กมธ.ตร.ฟาดกลับ‘สมศักดิ์-วิญญัติ’
นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรี ธรรมราช และรองหัวหน้าพรรคประชา ธิปัตย์ ในฐานะประธานกมธ.ตำรวจ กล่าวถึงนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ ระบุหากกมธ.ตำรวจ จะไปศึกษาดูงานที่ร.พ.ตำรวจ ในเรื่องวิธีการ ขั้นตอนและมาตรการดูแลผู้ต้องขังกรณีเข้ารับรักษาตัว รวมถึงเรื่องของนายทักษิณว่ามีอาการป่วยจริงอย่างไร ก็ต้องระวังจะถูกฟ้อง รวมถึงนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความประจำตัวนายทักษิณ ประกาศจะฟ้องร้องคนที่ต้องการให้เปิดเผยข้อเท็จจริงถึงอาการป่วยของนายทักษิณ ว่า ตนเห็นว่าทั้ง 2 กรณี มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ปกป้องสุดชีวิตและปกปิดไม่ให้สาธารณชนรับรู้

โดยให้เข้าใจเอาเองว่า นายทักษิณยังรักษาตัวอยู่ร.พ. และกลายเป็นชุดความคิดที่จะสะกดจิตคนไทยทั้งประเทศ การที่กมธ.ตำรวจ จะไปดูงานที่ร.พ.ตำรวจ ในวันที่ 12 ม.ค.2567 เพื่อสอบถามถึงมาตรฐานการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขัง และสอบสวนหาข้อเท็จจริงให้กับคนไทย ถือเป็นการทำหน้าที่แทนปวงชนชาวไทย และรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ก็รับรองการกระทำของกมธ.แต่ละชุด ในการสอบหาข้อเท็จจริง

ไม่กลัวถูกฟ้อง-ยันทำตามกม.
นายชัยชนะกล่าวต่อว่า ยืนยันว่า กมธ.ตำรวจ มีอำนาจหน้าที่อย่างถูกต้องในการดำเนินการดังกล่าว โดยอาศัยอำนาจที่มีตามกฎหมายอย่างซื่อสัตย์สุจริตและตรงไปตรงมา ซึ่งจะทำให้รอดพ้นโทษ แต่หากรู้ทั้งรู้ว่าข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเป็นอย่างไร ยังดันทุรังเพื่อช่วยเหลือให้บุคคลคนหนึ่งมีสิทธิมากกว่าคนอื่น จนกลายเป็นคนไม่เท่ากันแล้ว จะทำให้ส่วนรวมขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทยด้วย

“ผมไม่ได้แปลกใจที่ทั้ง 2 คนจะใช้วิธีฟ้องปิดปากกับกมธ. และประชาชนที่ต้องการทราบว่านายทักษิณ อยู่ที่ไหนและทำไมยังรักษาตัวไม่หาย ผมคิดว่าบุคคลทั้งสอง ควรคำนึงถึงประเด็นสงสัยของประชาชนขณะนี้ มีหลายข้อสงสัยที่กมธ. จะต้องหาคำตอบให้ได้ เช่น นายทักษิณป่วยหนักจริงหรือไม่ ทำไมได้เอกสิทธิ์และอภิสิทธิ์เหนือนักโทษคนอื่น นายทักษิณจะได้กลับเข้าไปเรือนจำเพื่อชดใช้ความผิดหรือไม่” นายชัยชนะกล่าว

ประธาน กมธ.ตำรวจ กล่าวต่อว่า การที่กมธ.จะไปในวันที่ 12 ม.ค.นั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนทำหนังสือถึงกรมราชทัณฑ์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ถือว่าปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้อำนาจไว้ ไม่ได้กระทำการเกินเลย ซึ่งเป็นหน้าที่ของร.พ.ตำรวจและกรมราชทัณฑ์เองว่าจะตอบรับให้กมธ. เข้าไปดูงานและ ตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือไม่ เพราะถ้าไม่อนุญาต ทางร.พ.ตำรวจ กรมราชทัณฑ์ และผู้เกี่ยวข้องก็ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ โดยเฉพาะข้อสงสัยของประชาชน

วิโรจน์ยันไม่ค้าน‘ทักษิณ’อยู่ร.พ.
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชี รายชื่อ พรรคก้าวไกล(ก.ก.) ทวีตข้อความแสดงความคิดเห็นกรณีครบ 120 วันการรักษาตัวของนายทักษิณ ที่ร.พ.ตำรวจ โดยยืนยันว่าตนไม่ได้แย้งที่นายทักษิณ ได้รับการรักษาตัวที่ร.พ. ภายนอกที่มีศักยภาพสูงกว่า ร.พ.ราชทัณฑ์ เพียงแต่ต้องการระเบียบหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน เพื่อนักโทษทุกคนเช่น ถ้าเจ็บป่วยด้วยโรคที่ร.พ.ราชทัณฑ์ ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง หรือไม่มีเครื่องมือรักษา ก็จะส่งตัวไปรักษาที่ร.พ.ภายนอกทันที

สำหรับชั้น 14 ที่ร.พ.ตำรวจ หากยืนยันว่าไม่ใช่ห้องพิเศษ ก็ควรระบุให้ชัดว่าเป็นสถานพยาบาลเพื่อรักษาโรคประเภทใดเพื่อให้ผู้ต้องหารายอื่น ที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่คล้ายกัน แสดงความประสงค์ขอเข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 ร.พ.ตำรวจได้

ชี้ระเบียบราชทัณฑ์เปิดช่องวิ่งเต้น
ส่วนเรื่องกักขังนอกเรือนจำ ตนเห็นด้วยกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ ในหลักการ เพียงแต่ชี้ว่าระเบียบของกรมราชทัณฑ์ที่ออกมานั้น มีช่องให้เกิดการวิ่งเต้น และเรียกรับผลประโยชน์ เนื่องจากการตัดสินใจจะอยู่ที่คณะทำงาน ที่ประกอบด้วยผู้ใต้บังคับบัญชา และคนภายนอกที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์แต่งตั้งและยังให้อำนาจแก่อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นผู้ชี้ขาดว่าใครจะได้รับการกักขังนอกเรือนจำ

ถ้าปล่อยให้ระเบียบเป็นเช่นนี้ผู้มีอิทธิพล มาเฟียข้ามชาติที่ร่ำรวย จะออกใบสั่งกดดัน หรือจ่ายส่วยให้ตนเอง หรือพวกของตน ให้ไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำได้ ระเบียบการกักขังนอกเรือนจำ อาจกลายเป็นระเบียบคุกมีไว้ขังคนจนได้ จึงเห็นว่าควรทำหนังสือถึงป.ป.ช. ให้ ป.ป.ช.พิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา 32 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยป.ป.ช. และทำถึงผู้ตรวจการแผ่นดินด้วย เพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาใช้อำนาจตาม มาตรา 22, 32, 33 ของ พ.ร.ป.ผู้ตรวจการแผ่นดิน เสนอแนะแก้ไขระเบียบดังกล่าว เพื่อปิดช่องการทุจริต และความไม่เป็นธรรม

ย้ำต้องไม่เลือกปฏิบัติกับผู้ต้องขัง
นายวิโรจน์ระบุว่า ต้องย้ำว่าไม่ได้คัดค้านไม่ให้นายทักษิณได้รับการรักษาที่ร.พ.ภายนอก ที่มีศักยภาพ หรือไม่ได้รับสิทธิ์ในการถูกคุมขังภายนอก แต่ต้องการให้เป็นบรรทัดฐานที่เป็นมาตรฐาน เพื่อใช้กับผู้ต้องขังรายอื่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติ ซึ่งความไม่เป็นธรรมที่เกิดกับนายทักษิณ คือการบังคับใช้กฎหมายสองมาตรฐาน และการเลือกปฏิบัติ ซึ่งนายทักษิณควรได้รับความเป็นธรรม เพื่อให้สิ่งที่นายทักษิณได้รับ มีความเป็นธรรม ไม่ใช่อภิสิทธิ์ จึงควรกำหนดระเบียบให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ต้องขังคนอื่นๆ ได้ใช้สิทธิ์อย่างเท่าเทียมกัน

‘ไหม’พร้อมอภิปรายงบ 67
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมพร้อมอภิปราย ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ว่า เตรียมข้อมูลไว้คร่าวๆ แล้ว แต่เรายังไม่เห็นเอกสารงบ เพราะเอกสารจะส่งมาในวันที่ 26 ธ.ค. มีเวลาศึกษาแค่ 7 วันก่อนอภิปราย เราเลยต้องเดาทางไว้ก่อน ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะมีเรื่องอะไรบ้าง

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความมั่นใจในการอภิปรายงบครั้งนี้หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า มั่นใจมาก ตอนนี้ดูรายละเอียดเบื้องต้นอยู่ ซึ่งพบว่างบประมาณรัฐบาลของนายเศรษฐาไม่ได้มีข้อแตกต่างอย่างชัดเจนกับรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นคือ งบประมาณที่ต้องชำระหนี้ ไม่ว่าหนี้สาธารณะ ตามปกติที่มีการชำระเพิ่ม หรือการชดใช้เงินคงคลัง ซึ่งเป็นการใช้หนี้ที่ใช้งบประมาณเกินในอดีต รวมถึงการชำระหนี้ในส่วนนโยบายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (รถอีวี)

ชี้ไร้หน่วยงานได้งบเพิ่ม
“เท่าที่ดูแล้ว แทบไม่มีหน่วยงานไหนที่ได้รับงบเพิ่มเติม มีนัยยะสำคัญที่เราจะตีความได้ว่า กำลังมีการขับเคลื่อนนโยบายอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่” น.ส.ศิริกัญญากล่าว

เมื่อถามว่าการอภิปรายงบครั้งนี้จะเป็นเหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีคนใดหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น ต้องให้ความเป็นธรรม เพราะรัฐบาลเพิ่งทำงานมา 3 เดือน

โพลชี้‘พิธา’นักการเมืองแห่งปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า Line Today เปิดเผยผลโหวต ‘Poll of the Year 2023 ที่สุดของคนไทยในปี 2023’ ซึ่งเปิดโหวตตั้งแต่วันที่ 4-20 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดย ข่าวแห่งปี มีผู้เข้าร่วมโหวตประมาณ 6,100 คน อันดับ 1 ได้แก่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ได้เป็นนายกฯ คดีหุ้น ITV หยุดปฏิบัติหน้าที่ 28.03% 2.สงครามอิสราเอล-ฮามาส 10.18% 3.เยาวชน 14 กราดยิงพารากอน 10.1% 4.นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แฉตู้ห่าว แฉคนมีชื่อเสียง 8.94% 5.นายทักษิณ ชินวัตร กลับไทยในรอบ 17 ปี 8.68%

6.คดีกำนันนก-สารวัตรศิว 8.38% 7.เพื่อไทย-พรรคร่วม ตั้งรัฐบาล-นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ คนที่ 30 5.88% 8.หมอกฤตไท เพจสู้ดิวะ ป่วยมะเร็ง 4.4% 9.เสี่ยแป้ง นาโหนด แหกคุก 3.65% และ 10.เรือดำน้ำไททันระเบิดสูญหาย 2.18%

นักการเมืองแห่งปี มีผู้ร่วมโหวตถึง 16,000 คน อันดับ 1 ได้แก่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 5,897 คะแนน คิดเป็น 36.35% 2.นายเศรษฐา ทวีสิน 2,677 คะแนน คิดเป็น 16.5% 3.นายวราวุธ ศิลปอาชา 2,173 คะแนน คิดเป็น 13.4% 4.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 1,983 คะแนน คิดเป็น 12.22% 5.นายชาดา ไทยเศรษฐ์ 890 คะแนน คิดเป็น 5.49%

ขณะที่ ซอฟต์พาวเวอร์แห่งปี มีผู้เข้าร่วมโหวตราว 2,100 คน อันดับ 1 ได้แก่ กางเกงช้าง 26.94% 2.ข้าวเหนียวมะม่วง 17.96% 3.สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไทย พระพรหม พระแม่ลักษมี 8.84% 4.หมูกระทะ 8.52% และ 5.สตรีตฟู้ด 8.43%

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน