วันที่ 23 ก.ค. นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กระบุ ถึงเวลาหยุดการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของระบอบเผด็จการที่มุ่ง “กำจัด” สิทธิและเสรีภาพของประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุด ระบอบเผด็จการสมัยใหม่มองกฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกครองของตนเอง โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ 4 วิธี วิธีแรกนำ “กฎหมาย” ไปห่อหุ้ม “ปืน” เอาคำสั่งตัวเองเสกให้เป็นกฎหมาย หรือตั้งสภาออกกฎหมาย ยกตัวอย่างเช่น การสร้างสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วิธีที่สองนำ “กฎหมายห่อปืน” ไปใช้บังคับ โดยอาศัย เจ้าหน้าที่ เช่น เมื่อมีการชุมนุมก็เอาเจ้าหน้าที่ไปจับกุม ตั้งข้อหา ไม่ต้องอุ้ม ฆ่า หรือเอากฎหมายมาคุ้มกันให้ผู้เผด็จการไม่มีความผิด วิธีที่สาม ใช้กฎหมายอย่างไม่แน่นอนชัดเจน จนทำให้ประชาชนไม่กล้าใช้สิทธิเสรีภาพ เช่น ไม่อาจแน่ใจว่าโพสต์แล้วจะมีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือไม่ เมื่อการใช้เสรีภาพอยู่บนความเสี่ยงก็เลือกจะเซ็นเซอร์ตนเอง วิธีที่สี่ การใช้กฎหมายอย่างบิดผัน เช่น มีหมายจับแต่ไม่ใช้ เก็บใส่ลิ้นชัก แต่เมื่อประเมินว่าคนคนนั้นเคลื่อนไหวชุมนุมก็หยิบหมายจับมาใช้ อยากให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ก็ใช้พ.ร.บ.ความสะอาด เรื่องใช้เครื่องขยายเสียง หรือประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินห้ามชุมนุมเพราะอาจเกิดโรคระบาด
ตั้งแต่รัฐประหาร 2557 เราพบเห็นการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย ไม่สอดคล้องหลักนิติรัฐ ใช้อำนาจข่มขู่ คุกคาม ละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน เช่น ขับรถตาม แฝงตัวเข้ามาในที่ประชุม ในที่ชุมนุม สะกดรอยตาม ถ่ายภาพป้ายทะเบียนรถผู้ร่วมงาน บันทึกภาพวิดีโอ พยายามหารายชื่อผู้เข้าร่วมงาน เจ้าหน้าที่ยังใช้อำนาจอย่างไม่เสมอภาค เท่าเทียม เช่น กลุ่มเชียร์รัฐบาลทำได้เต็มที่ แต่กลุ่มที่ต้องการตรวจสอบประท้วงรัฐบาล ต้องโดนคดีถูกจับกุมคุมขังทุกครั้งไป
ถึงเวลาแล้วที่ต้องหยุดการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ถึงเวลาแล้วที่ต้องหยุดการใช้กฎหมายแบบไม่เห็นหัวประชาชน อำนาจดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อพวกเราเชื่อว่าตรงนั้นมีอำนาจ ถ้าเราไม่เชื่ออีกแล้วว่าที่ตรงนั้นมีอำนาจอยู่ อำนาจก็จะสูญสลายหายไปทันที บรรดาการใช้กฎหมายต่างๆ ของเผด็จการ สามารถเดินเครื่องได้อย่างเต็มที่ก็เพราะเรากลัวมัน ถ้าเราไม่กลัวไม่เชื่ออีกต่อไป อำนาจและกฎหมายของเผด็จการก็ไม่สามารถบรรลุผลได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน