แป้งและยาชา – กรณีอื้อฉาวที่ก่อปฏิกิริยาทางสังคมไทยเป็นพิเศษช่วงเวลานี้เป็นเรื่องที่มียาเสพติด ร่วมเป็นประเด็น

นับจาก “มันคือแป้ง” จนมาถึง “สารโคเคนเป็น ยาชา” ทั้งสองเรื่องนี้ไม่เพียงสร้างความขบขัน ยังเป็นมุขเย้ยหยันกระบวนการยุติธรรมด้วย

แม้จะมีความพยายามอธิบายรายละเอียดที่มาที่ไปของ “แป้ง” และ “ยาชา” แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับความเชื่อถือใดๆ จากสังคม

โดยเฉพาะเมื่อกรณีแรกมีบันทึกข้อมูล รายละเอียดคดีที่ศาลต่างแดน และกรณีหลัง มีผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมมาให้ข้อมูล

ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกคับข้องใจ และ ไม่ไว้วางใจต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งยังส่งผลกระทบไปถึงรัฐบาลด้วย

คดีบอส อยู่วิทยา ต้องสงสัยขับรถชน นายตำรวจเสียชีวิต เมื่อปี 2555 เริ่มต้น เป็นคดีตัวบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับรัฐบาล

แต่หลังจาก 8 ปีที่ผู้ต้องสงสัยไม่มารายงานตัว ตามหมายจับ ได้แต่อยู่ต่างประเทศมาโดยตลอด สุดท้ายคดีพลิกผันว่าอัยการสั่งไม่ฟ้องทุกข้อหา สายตาของคนในสังคมก็เริ่มจับจ้องไปที่รัฐบาล

ความอึดอัดคับข้องใจจากคดีทางการเมืองหลายคดี รวมถึงคดีแป้ง ทำให้รัฐบาลถูกกระแสสังคมไม่พอใจไปด้วย

กลายเป็นข้อสงสัยเรื่องระบบอุปถัมภ์ค้ำชูว่ามีส่วนหรือไม่กับกระบวนการที่ทำให้คดีนี้ไม่มีประจักษ์พยานในทางยืนยันการกระทำความผิด และไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอให้อัยการสั่งฟ้อง

ดังนั้นแม้รัฐบาลอยากเลี่ยงความเกี่ยวข้องก็เลี่ยงไม่พ้น

แม้รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการต่างๆ ขึ้นมาตรวจสอบรายละเอียดตามกรอบเวลา และคดีนี้ไม่ตัดสิทธิของผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้อง ต่อศาลเอง

รวมถึงการเปิดช่องว่าหากปรากฏพยาน หลักฐานใหม่ พนักงานสอบสวนก็อาจรื้อฟื้นคดีมาสอบสวนได้

แต่เส้นทางที่คดีมาลงเอย ณ เวลานี้ทำให้คนรู้สึกว่าคงไม่มีทางที่เรื่องทำนองนั้นจะเกิดขึ้นได้

เพราะขนาดเวลาผ่านมา 8 ปี สำนวนคดี ยังไม่มีความชัดเจน ยังไม่รู้ว่าสารที่พบเป็นการใช้ โคเคนร่วมกับแอลกอฮอล์ หรือเกิดจากปฏิกิริยาของยาปฏิชีวนะ

กรณียาชาก็อาจซ้ำรอยเรื่องแป้งให้เป็นที่ขำขันและรันทดใจพอๆ กัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน