ขาแท่นหลุมปิโตรเลียม – ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศใต้ท้องทะเลไทย เต็มไปด้วยสัตว์ทะเลน้อยใหญ่จำนวนมาก ปะการัง หญ้าทะเล รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งแร่ ก๊าซ และน้ำมันดิบ ทำให้มีแท่นขุดเจาะปิโตรเลียมนับร้อยแท่นตั้งกระจายอยู่ในท้องทะเลไทย

ขาแท่นหลุมปิโตรเลียมเหล่านี้ กลายเป็นบ้านหลังใหญ่ให้สิ่งมีชีวิต หลากหลายสายพันธุ์ได้หลบอาศัย จึงเป็นแนวคิดต่อยอดของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ร่วมกับบริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด นำขาแท่นปิโตรเลียมที่สิ้นสุดหน้าที่มาวางเป็นปะการังเทียม เพื่อสร้างแหล่งเพาะพันธุ์ปะการังและที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเล

ภายใต้ “โครงการนำขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียม จำนวน 7 ขาแท่น มาจัดวางเป็นปะการังเทียม เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล นำร่องในพื้นที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี”

โครงการนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2556 มีการศึกษาทดลองนำโครงสร้างเหล็กจำลองชนิดเดียวกับขาแท่นไปจัดวางที่บริเวณอ่าวโฉลกหลำของเกาะพะงัน พบปริมาณสัตว์ทะเลเพิ่มขึ้น เป็นประโยชน์ต่อประมงพื้นบ้าน กลายเป็นแหล่งดำน้ำ ถือเป็นความสำเร็จในการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล

ต่อมาในปี 2559 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย

คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์ และศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำขาแท่นหลุมปิโตรเลียม ในอ่าวไทยมาจัดวางเป็นปะการังเทียม และศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่จัดวาง ผลการศึกษาออกมาเป็นที่น่าพอใจ

ในปี 2561 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม (ทส.) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้เสนอโครงการต่อคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ซึ่งมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการ และมอบหมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อ

นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้สานต่อโครงการ พร้อมเล่าความคืบหน้าว่า การจัดวาง ขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมผ่านการ ศึกษาความเป็นไปได้ และผลกระทบ ที่อาจจะเกิดต่อระบบนิเวศทางทะเล มีการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มี ส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่แล้ว ทำให้สามารถมั่นใจได้ในระดับหนึ่งก่อนดำเนินการ จัดวางสำหรับการจัดวางขาแท่นทั้ง 7 ขาแท่น

ขาแท่นแรกเริ่มจัดวางเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2563 และขาแท่นสุดท้ายสิ้นสุดเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2563 พร้อมทั้งได้รับการตรวจสอบและรับรองจากผู้เชี่ยวชาญการสำรวจทางทะเลเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทางบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ได้จัดพิธีส่งมอบให้กรมทะเลฯ เป็นผู้ดูแลโครงการในพื้นที่

สำหรับแผนการดำเนินงานในระยะ ต่อไป นายโสภณเผยว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะกำหนดเป็นพื้นที่คุ้มครองทางทะเล พร้อมแผนและมาตรการการบริหารจัดการพื้นที่จัดวาง ขาแท่นดังกล่าว รวมทั้งแนวทางการติดตามและศึกษาผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบจากการใช้ขาแท่นปิโตรเลียมในการจัดวางเป็นปะการังเทียม

“อยากขอบคุณบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ในฐานะหนึ่งในบริษัทชั้นนำในด้านการผลิตและสำรวจปิโตรเลียมในประเทศไทย ที่ให้ความสำคัญและความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลที่ดีมาโดยตลอด เชื่อว่าความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงาน จะยังเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นในการดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของประเทศให้คงความสมบูรณ์ยั่งยืนเช่นนี้ต่อไป หวังว่าโครงการนี้จะเกิดประโยชน์ต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล ส่งผลดีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่เกาะพะงันและพื้นที่ ใกล้เคียง ทั้งด้านการท่องเที่ยวดำน้ำ และการประมง” นายโสภณกล่าว

ด้าน นายไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า บริษัท เชฟรอนฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนโครงการนี้ พร้อมมอบขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมที่ไม่ใช้งานแล้ว 7 ขาแท่น ให้กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งไปจัดวางเป็นปะการังเทียมเพื่อการอนุรักษ์ท้องทะเลไทย ตลอดจนจัดหาผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการศึกษาในต่างประเทศและนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้สนับสนุนงานศึกษาวิจัยของโครงการต่อไป

เชื่อมั่นว่าโครงการศึกษานำร่องนี้จะสร้างองค์ความรู้ที่มีค่าด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลด้วยปะการังเทียมจากขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียม ซึ่งเป็นแนวทางที่มีการดำเนินงานในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยตลอดระยะการดำเนินงาน เชฟรอนได้ปฏิบัติงานตามข้อกำหนดกฎหมายและเป็นไปตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในระดับสากล

โครงการนี้ได้รับการอนุมัติอนุญาต จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า และกรมประมง

นอกจากนี้ เชฟรอนยังได้ทำงานร่วมกับบริษัทผู้ร่วมทุน ได้แก่ บริษัท มิตซุย ออยล์ เอ็กซโปลเรชั่น จำกัด และบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ภายใต้โครงการดังกล่าว ที่เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นเพื่อการเสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศทางทะเลอย่างยั่งยืน

ส่วนการติดตามโครงการ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. ย้ำว่า ได้กำชับให้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ติดตามผลกระทบของโครงการดังกล่าวใน ทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศทางทะเล ซึ่งต้องประเมินทั้งผล กระทบทางบวกและผลกระทบทางลบ เพื่อประกอบการตัดสินใจในระดับนโยบายในการต่อยอดโครงการในอนาคต ซึ่งอย่างน้อยต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปี เพื่อถอดบทเรียนจากการดำเนินการโครงการครั้งนี้

“เราใช้ประโยชน์จากท้องทะเลอย่างมหาศาล เมื่อถึงวันที่เราจะสร้างประโยชน์ตอบแทนกลับคืน ก็ควรเป็นประโยชน์ ที่แท้จริง การให้ในวันนี้ ต้องไม่เป็นการทำลายในวันข้างหน้า การใช้ขาแท่นปิโตรเลียมสร้างบ้านใหม่ให้ปะการัง และสัตว์ทะเล ต้องหมั่นติดตามดูแล หากบ้านหลังใหม่สร้างผลกระทบ ต้องรีบจัดการ เพื่อรักษาบ้านหลังใหญ่มิให้ถูกทำลาย ใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่าง ยั่งยืน ต้องรักษาให้คงอยู่อย่างมั่นคง” นายวราวุธกล่าว

แนวปะการังเทียมนี้ นอกจากมีประโยชน์ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแล้ว ยังมีความคาดหวังว่าจะเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาดำน้ำชมความสวยงามใต้ท้องทะเล และการนันทนาการ

อันเป็นการสร้างรายได้และอาชีพให้แก่ชาวบ้านใน จ.สุราษฎร์ธานี อีกด้วย

โดย นนทวรรณ มนตรี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน