ท็อปอุปกรณ์ไอที โดดเด่นสุดแห่งปี 2020 – ปี 2020 ที่กำลังจะผ่านไปนั้นเป็นปีแห่งกำไรสำหรับบรรดาผู้ผลิตอุปกรณ์ไอทีจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาปี 2019 หรือโควิด-19 ทำให้คนครึ่งค่อนโลกต้องล็อกดาวน์ และทำงานทางไกล อุปกรณ์ไอทีจึงเป็น ที่ต้องการมากขึ้น ทางเว็บไซต์ www. cnet.com ประมวลอุปกรณ์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งปีดังนี้

ฟิตบิตชาร์จโฟร์

Fitbit Charge 4 กำไลข้อมืออัจฉริยะที่มีฟีเจอร์ครบครันผสานความสวยงามที่สุดในปี 2020 ต้องยกให้ Charge 4 จากค่าย Fitbit ประเทศสหรัฐอเมริกา แม้หน้าตาจะคล้ายคลึงกับรุ่นก่อน แต่ระบบภายในนั้นได้รับการยกเครื่องมาใหม่

นับเป็นกำไลฟิตเนสที่เหมาะสำหรับ ผู้ชื่นชอบการออกกำลังกายทั้งยังต้องการรูปลักษณ์ที่สวยงาม มีขนาดกะทัดรัด ระยะเวลาการใช้งานจากแบตเตอรี่ที่ใช้นานได้ยาวนานขึ้น พร้อมฟีเจอร์การตรวจวัดสุขภาพ และระบบ GPS ที่มีความแม่นยำสูง โดยไม่ต้องสวมสมาร์ตวอตช์เรือนโตให้รู้สึกเทอะทะหนักข้อ แม้จะไม่มีฟีเจอร์การสั่งงานด้วยเสียงเหมือน Fitbit Versa 3 แต่ Fitbit Charge 3 นั้นไม่ขาดตกบกพร่องฟีเจอร์อื่น แน่นอนว่ารวมถึง การตรวจวัดสุขภาวะการนอนหลับด้วย ที่สำคัญราคาไม่แพงจนเกินไปอยู่ที่ราว 4,000 ถึง 6,000 บาท

ซัมซุงกาแลกซีวอตช์

Samsung Galaxy Watch Active 2 สมาร์ตวอตช์ หรือนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะที่ครอบคลุมการใช้งานรอบด้านมากที่สุดของปีนี้ มีความโดดเด่นด้านการสวมใส่ที่สบายข้อมือไม่ว่าจะขณะออกกำลังกาย หรือนอนหลับพักผ่อน ทั้งยังมีฟีเจอร์เหมือนกันกับ Samsun Galaxy Watch 3 ที่มีราคาแพงกว่า โดย Samsung Galaxy Watch Active 2 อัพเดตเพิ่มฟีเจอร์อย่างระบบวัดคลื่นหัวใจ (ECG) เมื่อเดือนพ.ย. แม้ Samsung Galaxy Watch Active 2 จะวางจำหน่ายมานานถึง 1 ปีแล้วก็ตาม

ส่วนหน้าจอเป็นแบบ AMOLED สว่างไสวเปล่งปลั่ง มีขนาดให้เลือก 2 แบบได้แก่ เส้นผ่านศูนย์กลาง 40 และ 44 มิลลิเมตร เชื่อมต่อทั้งสัญญาณมือถือ 4G LTE และบลูทูธ ได้รับการปรับปรุงให้เซ็นเซอร์ตรวจวัดการเต้นของหัวใจมีความไวมากขึ้นกว่ารุ่นแรก ทั้งยังสนับสนุนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์จากกูเกิ้ล และไอโอเอสจากแอปเปิ้ลด้วย สนนราคาที่ 11,900 บาท (ราคาปัจจุบันอาจลงมาแล้วถึง 6,900 บาท)

กาแลกซี เอสทเวนตี

Samsung Galaxy S20 FE สมาร์ตโฟน 5G ที่คุ้มค่าที่สุดจากซัมซุง ด้วยฟีเจอร์ระดับเรือธงของ Galaxy S20 ผสานกับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อรองรับอนาคตมาในราคาที่เย้ายวนใจ

เป็นสมาร์ตโฟนที่ถูกออกแบบมาภายใต้คอนเซ็ปต์สเป๊กทรงพลัง ผสานกับการเชื่อมต่อ 5G แต่ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าทางเรือธงอย่าง S20 Ultra และ Note 20 Ultra โดยยังคงไว้ซึ่งฟีเจอร์ระดับพรีเมียมส่วนใหญ่ เช่น กล้องหลัง 3 ตัว SoC ระดับแนวหน้า มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 และ 5G สนนราคาที่ 18,900 บาท พร้อมสีสันมากมายให้เลือกอย่างจุใจถึง 6 สี

กูเกิ้ลพิกเซล 5 จี

หากใครที่ไม่ติดหรู และกำลังมองหาสมาร์ตโฟนที่รับคลื่น 5G ในราคาเข้าถึงได้ ทางซีเน็ตมองว่า Pixel 4A 5G เป็นหนึ่งในทางเลือกที่คุ้มที่สุดแล้วของปีนี้ เพราะสนนราคาที่ 499 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 15,000 บาทเท่านั้น Pixel 4A 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่เพียบพร้อมไปด้วยกล้องคุณภาพสูง จากเลนส์วาย และอัลตราวาย จอภาพที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่า Pixel 4A แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้น กว่าเดิม รวมทั้ง SoC ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ถือเป็นสมาร์ตโฟน 5G ที่โดดเด่นกว่าคู่แข่งอย่าง Motorola One 5G เสียอย่างเดียว คือ ไม่มีฟีเจอร์ชาร์จไร้สายเท่านั้น

โบส เฟรมส์ 2020

แว่นตากันแดดและหูฟังแบบออล-อิน-วัน Bose Frames 2020 จากค่ายโบส ประเทศสหรัฐอเมริกา หลายคนอาจเพิ่งรู้ว่าของไอทีแบบนี้มีด้วย แต่บอกเลยว่าเทรนด์นี้อาจดูนิช แต่กำลังมาและโบสเป็นหนึ่งในผู้นำเทรนด์ที่ว่า สะท้อนจากรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งได้รับการปรับปรุง

แว่นตาประเภทนี้เรียกว่า Audio Sunglasses จากโบส มีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ เทเนอร์ เท็มโป และโซพราโน่ สนนราคาที่ 249 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7,400 บาท อาจไม่ใช่สินค้าจำเป็น แต่ถือว่าแหวกแนวสุดของปีนี้แล้ว

วันพลัสเอต

OnePlus 8 สมาร์ตโฟนสายพันธุ์เรือธงที่คุ้มค่าที่สุดจากวันพลัส ผู้พัฒนาสมาร์ตโฟนชื่อดังจากประเทศจีน แม้จะไม่ได้มีฟีเจอร์อัดแน่นมาจนล้นทะลัก แต่วันพลัส 8 มีเทคโนโลยีครบครันที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตยุคดิจิตอลในปัจจุบัน

แม้วันพลัส 8 โปร มีสเป๊กที่ทันสมัยกว่า อาทิ หน้าจอความถี่สูง 120 เฮิร์ตซ์ (Hz) เลนส์เทเลโฟโต้ แต่วันพลัส 8 นั้นไม่ได้น้อยหน้าเพราะยังใช้งานกับเทคโนโลยีการสื่อสารยุคที่ห้า (5G) ได้

มีหน้าจอความถี่สูง 90 Hz แบตเตอรี่ขนาด 4,300 มิลลิแอมป์ชั่วโมง (mAh) ที่ใช้ได้นานถึง 18 ชั่วโมง (ทดสอบด้วยการเล่นไฟล์ภาพยนตร์ 1080p บน Airplane mode) ทั้งยังใช้ขุมพลัง จากชิพประมวลผล (SoC) แนวหน้าของค่าย ควอลคอมม์ ประเทศสหรัฐอเมริกา รุ่น Snapdragon 865 รวมถึงคุณภาพของ กล้องถ่ายภาพที่น่าชื่นชม ถึงจะไม่สนับสนุนระบบชาร์จไร้สาย และเลนส์มาโครไม่ค่อยได้ใจนักก็ตาม

ทั้งหมดสนนราคาที่ 17,990 บาท วางจำหน่ายแล้วในประเทศไทย

แอปเปิ้ลวอตช์ เอสอี

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบระบบปฏิบัติการไอโอเอสจากแอปเปิ้ล พึงรู้ไว้เถิดว่า Apple Watch SE เป็นสมาร์ตวอตช์ที่ดีที่สุดในปีนี้แล้ว แม้จะไม่มีเซ็นเซอร์ไฮเทค และระบบ Always-on เหมือนอย่าง Series 6 แต่เป็นความสมดุลที่สุดทั้งประสิทธิภาพและราคา จุดเด่นของ Apple Watch SE อาทิ ราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น (9,400 บาท) ระบบตรวจจับการตกกระแทก ตรวจวัดสุขภาพ ตรวจวัดการออกกำลังกาย ระบบหน้าจอทัชสกรีนที่ไว และคมชัด

แน่นอนว่ารวมถึงการประสานงานกับไอโฟนได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุดด้วย

ไอโฟน 12 โปรแม็กซ์-ไอโฟนมินิ

ไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ เพราะไอโฟน 12 ซีรีส์ เป็นไอโฟนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่แอปเปิ้ลเคยสร้างมา เริ่มที่ iPhone 12 Pro Max ตัวท็อป นั้นมีทั้งแบตที่ใหญ่ ขึ้นกล้องถ่ายภาพที่สวยงามตราตรึง และดีไซน์ภายนอกที่กลับไปใช้แบบสมัย iPhone 5

เทคโนโลยีที่อัดแน่นมาใน iPhone 12 Pro Max นั้นทันสมัยไม่น้อยหน้าสาวกแอนดรอยด์ ไม่ว่าจะเป็นจอ OLED ที่สนับสนุน HDR กระจกนิรภัยแบบเซรามิก SoC ที่ดีที่สุดของวงการอย่าง A14 Bionic และเทคโนโลยีชาร์จไร้สายผ่าน MagSafe รวมทั้งกันน้ำลึก 6 เมตร สนับสนุน 5G แต่โมดูลกล้องที่นูนออกมามากอาจทำให้หลายคนไม่ชอบเท่านั้น

ขณะที่ iPhone mini เป็นอีกรุ่นที่น่ากล่าวขวัญในปีนี้ เพราะเป็นรุ่นสวนกระแส ท่ามกลางสมาร์ตโฟนทุกรุ่นที่แข่งกันมีขนาดจอใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ทางแอปเปิ้ลไม่ลืมลูกค้าที่ต้องการความกะทัดรัดด้วยจอขนาดเพียง 5.4 นิ้ว สเป๊กเดียวกันกับเรือธง มีข้อเสียตรงที่ระยะเวลาการใช้งานที่สั้นเหลือ 4-5 ช.ม. ถือว่ามีได้ต้องมีเสียบ้าง

หูฟังเซนไฮเซอร์

Sennheiser Momentum True Wireless 2 หูฟังไร้สายเชื่อมต่อผ่านบลูทูธที่ดีที่สุดของปีนี้ ถือเป็นรุ่นที่ 2 พร้อมเทคโนโลยีต่อต้านเสียงรบกวนจากภายนอก หรือเอเอ็นซี (Active Noise Cancellation) จากค่ายเซนไฮเซอร์ ประเทศเยอรมนี

หูฟังรุ่นนี้มีข้อดีรอบด้านไม่ว่าจะเป็นคุณภาพเสียงที่มีความ คมชัดสว่างไสวยิ่งกว่า AirPod Pro จากค่ายแอปเปิ้ล ประเทศสหรัฐอเมริกา ขนาดที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ใส่ได้สะดวกและต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่เจ็บช่องหู เทคโนโลยีเอเอ็นซีคุณภาพสูงที่ท้าชนได้กับระดับหูฟังไร้สายอย่าง AirPod Pro รวมทั้งระยะเวลาการใช้งานจากแบตเตอรี่นานถึง 7 ชั่วโมงติดต่อกัน (จากรุ่นก่อนที่ใช้ได้เพียง 4 ช.ม.)

นอกจากนี้ การทดสอบใช้งานยังพบว่าสามารถใช้สนทนาได้อย่างรื่นรมย์ด้วยเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนที่ดีเกินคาด มีทั้งหมด 2 สีให้เลือก ได้แก่ ขาวและดำ สนนราคาที่ 300 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 9,000 บาท

จันท์เกษม รุณภัย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน