‘หงส์-เสือใต้ ’ผงาดยุคโควิด – หากย้อนไปตอนต้นปี 2020 ถ้ามีคนบอกว่าวงการฟุตบอลปีนี้จะต้องเจอผลกระทบรุนแรงมากที่สุดปีหนึ่งในประวัติศาสตร์คงไม่มีใครเชื่อ แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เพราะหลังเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 วงการฟุตบอล ทั่วโลกก็ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่

การระบาดโรคโควิด-19 วงการฟุตบอลต้องปรับรูปแบบหลายอย่างเพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถดำเนินต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม โรคระบาดครั้งนี้กลับส่งผลรุนแรงมาก

สิ่งแรกที่ได้รับผลกระทบคือ การที่แฟนบอลไม่สามารถชมเกมในสนามได้ ขณะเดียวกันจากการระบาดของโควิด-19 ที่รวดเร็วไปทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปยุโรปส่งผลให้สุดท้ายฟุตบอลลีกต้องหยุดแข่งขันหลังมีนักเตะทยอยติดเชื้อ แน่นอนว่าการ ไม่สามารถจัดแข่งขันส่งผลต่ออุตสาหกรรมลูกหนังโดยตรง เพราะขาดรายได้สำคัญที่จะเข้ามาหมุนเวียนในสโมสร ขณะที่รายจ่ายนั้นมีเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ทำให้ไม่ว่าสโมสรใหญ่หรือเล็กก็เจอผลกระทบถ้วนหน้า

เข้าสู่ช่วงเดือนก.ค. แม้สถานการณ์โควิด-19 จะยังไม่ดีขึ้น ทว่าบรรดาลีกใหญ่ต้องบังคับตัวเองกลับมาแข่งขันเพื่อประคองสถานการณ์การเงิน แม้จะขาดรายได้จากตั๋วเข้าชมแต่ยังมีค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่จะได้รับหากแข่งขันครบจำนวนนัด จนสุดท้ายจะกลับมาแข่งขันกันได้แต่ต้องมีการเปลี่ยนรูปแบบ

ครั้งนี้เกิดเป็นฟุตบอลยุค “นิว นอร์มัล” ที่มีมาตรการต่างๆ เข้ามาควบคุมเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 เพิ่มเติม แม้ในปัจจุบันโควิด-19 จะยังส่งผล กระทบต่อวงการฟุตบอลอยู่แต่ทุกอย่างก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีหลังบางลีก เช่น พรีเมียร์ลีก อนุญาตให้แฟนบอลบางส่วนเข้าสนามมาชมเกมส่วนฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบน็อกเอาต์ ก็จะกลับมาแข่งขันกันแบบเหย้า-เยือนอีกครั้ง เป็นต้น

ท่ามกลางวิกฤตโควิดที่ถาโถมใส่วงการฟุตบอลยุโรปอย่างหนักก็ได้มีประวัติศาสตร์หน้าใหม่เกิดขึ้นกับ 2 บิ๊กทีมที่ถือว่าเป็นขวัญใจของแฟนบอลทั่วโลก นั่นก็คือ หงส์แดง ลิเวอร์พูลแห่งเกาะอังกฤษ และบาเยิร์น มิวนิก แห่งเยอรมนี

เริ่มจาก หงส์แดง แชมป์ลีกสูงสุดมานานกว่า 30 ปีทำให้ เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการทีม “หงส์แดง” หันมาเน้นอย่างมากในฤดูกาล 2019/2020 และลิเวอร์พูลก็เก็บชัยได้ถึง 26 จาก 28 นัดแรก ก่อนเกมที่ 30 ซึ่งลูกทีมเฉือนบอร์นมัธ 2-1 เมื่อต้นเดือนมี.ค. ทำให้นำห่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อันดับ 2 ถึง 25 คะแนน และต้องการชัยชนะอีกเพียง 3 จาก 8 นัดที่เหลือก็จะซิวแชมป์ไปครองทันที ทว่าฝ่ายจัดการแข่งขันพรีเมียร์ลีกได้ประกาศพักฤดูกาลท่ามกลางกระแสข่าวลือว่าซีซั่นนี้ส่อโมฆะหากไม่สามารถแข่งจบ ภายในเดือนก.ค.

หลังจากหยุดพักไปเกือบ 3 เดือน พรีเมียร์ลีกก็กลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้งช่วงปลายเดือนมิ.ย. กระทั่งเกมที่ 31 เชลซี ที่เคยทำลิเวอร์พูลพลาดแชมป์ลีกเมื่อฤดูกาล 2013-14 กลับเป็นทีมที่มอบถ้วยประวัติศาสตร์ให้ “หงส์แดง” หลังชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-1 ส่งผลให้ลิเวอร์พูลนำห่าง 23 แต้ม ซิวแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นสมัยแรก รวมถึงเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกในรอบ 30 ปีนับตั้งแต่พวกเขาเคยทำได้เมื่อปี 1989-1990

นอกจากนั้นหลังจบฤดูกาลพวกเขายังสร้างสถิติของสโมสรทั้งเก็บ 99 คะแนนในลีก, ชนะเกมในบ้าน 18 นัด, ชนะเกมนอกบ้าน 16 นัด และยิงรวมทั้งฤดูกาล 106 ประตู เป็นต้น

ขณะที่ บาเยิร์น มิวนิก ผงาดคว้า เทรเบิลแชมป์ถ้วยใหญ่ ประกอบด้วย บุนเดสลีกา เยอรมนี เดเอฟเบโพคาล และยูฟ่าแชมเปียนส์ ลีก ต่อจากฤดูกาล 2012-13 ต้นซีซั่น “เสือใต้” ออกสตาร์ตย่ำแย่ ภายใต้การคุมทีมของนิโก โควัช ส่งผลให้สุดท้ายเขาถูกปลดจากตำแหน่งและให้ ฮันซี ฟลิก คุมทัพแทน และนี่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทีมเนื่องจากฟลิกพาบาเยิร์นฯคืนฟอร์มเก่งได้รับสัญญาคุมทีมถาวร และสุดท้าย “เสือใต้” ซิวดับเบิลแชมป์ในประเทศ อย่างบุนเดสลีกาเป็นสมัยที่ 9 ติดต่อกัน และเป็นสมัยที่ 30 ในประวัติศาสตร์สโมสรต่อเนื่องด้วยแชมป์เดเอฟ เบโพคาล

หลังสร้างความยิ่งใหญ่ในประเทศ “เสือใต้” ก็ประกาศศักดา บนเวทียุโรปอย่างยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ต่อทันทีด้วยการเฉือนปารีส แซงต์ แชร์กแมง 1-0 คว้าแชมป์ “บิ๊กเอียร์” สมัยที่ 6 พร้อมทุกถ้วยในปี 2020 ถึง 5 รายการ รวมยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และเดเอฟเบโพคาล มาด้วย

ส่งท้ายปี โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี คว้านักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า และ มานูเอล นอยเออร์ ซิวผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมไปตามคาด

ทั้งหมดที่กล่าวมาคือขวบปี 2020 ของวงการฟุตบอลทั่วโลก ที่ถึงแม้จะโดนโควิด-19 เล่นงานแต่ก็ยังมีประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เกิดขึ้น และเชื่อว่าจะเป็นปีที่แฟนลูกหนังจะไม่ลืมอย่างแน่นอน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน