คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
กระสุนจริงสลายม็อบ – ความรุนแรงในพม่าที่ไปสู่จุดนองเลือด หลังจากประชาชนทั่วประเทศออกมาชุมนุมประท้วง ต่อต้านการรัฐประหาร จนถูกรัฐบาลทหารสลายม็อบอย่างดุดัน ไม่แค่รถฉีดน้ำความดันสูง แก๊สน้ำตาเท่านั้น แต่ถึงขั้นใช้กระสุนจริงยิงใส่ประชาชน ล้มตายเป็นเบือ
จึงเริ่มมีปฏิกิริยาจากทั่วโลก เรียกร้องให้หยุดการใช้ความรุนแรงกับประชาชนพม่าโดยด่วน
กระทั่งโป๊ปก็ยังออกมาป่าวประณาม
โดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส หรือโป๊ปฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักร แสดงความสลดใจที่มีการปะทะนองเลือดและการเสียชีวิต ขอเรียกร้องให้ใช้การเจรจาแทนการปราบปราม รวมทั้งขอให้ประชาคมระหว่างประเทศช่วยเหลือชาวเมียนมาด้วย
แน่นอนว่า ภาพข่าวความโหดร้ายที่ประชาชนพม่าถูกกระทำนั้น สำหรับประชาชนคนไทยแล้วเป็นภาพคุ้นตา
เพราะวันนี้ในบ้านเราก็มีการประท้วงของนักเรียน นักศึกษาบ่อยๆ บรรยากาศก็ชักร้อนระอุมากขึ้นทุกที!
ยังดีที่ยังไม่มีการใช้กระสุนจริง
Advertisement
แต่คำว่ากระสุนจริงในการสลายม็อบที่พม่านั้น
ทำให้คนไทยต้องนึกถึงเหตุการณ์ปราบม็อบเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ใช้กระสุนจริงอย่างเปิดเผย มีหน่วยสไนเปอร์ราวกับสมรภูมิรบในสงคราม
ตายไปถึง 99 ศพ
ขณะที่เหตุการณ์เมื่อทหารพม่าเข้ายึดอำนาจ ล้มรัฐบาลที่มีอองซาน ซูจี เป็นผู้นำ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นั้น
คนไทยเราก็รู้สึกคล้ายๆ กับเหตุการณ์ ทหารล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เมื่อปี 2557
เป็นการรัฐประหารโดยคสช. ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำ หลังจากนั้นเป็นนายกฯเอง และเป็นมาจนบัดนี้ 7 ปีแล้ว
แต่พอการปราบม็อบในพม่ารุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนใช้กระสุนจริงและผู้ชุมนุมล้มตายไปทั่ว
กลายเป็นภาพเทียบเคียงกับเหตุการณ์ 99 ศพเสื้อแดงอีก!
แถมประวัติศาสตร์การนองเลือดเมื่อปี 2553 นั้น เชื่อมโยงมาถึงกับรัฐประหาร 2557 ด้วยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสองเหตุการณ์นี้เป็นคนชุดเดียวกัน
ผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพในปี 2553 กับผู้นำม็อบและผู้นำรัฐประหารในปี 2557 ชุดเดียวกันนั่นแหละ
จนมีความน่าเชื่อว่า เหตุผลหนึ่งของการยึดอำนาจในปี 2557 นั้น เกี่ยวพันกับความผิดพลาดในปี 2553 ที่เป็นคดีความรุนแรง
ขณะที่ภาพรวมของสถานการณ์พม่า ที่เทียบเคียงกับสถานการณ์ในไทยนั้น
ไม่ว่าจะการรัฐประหาร เหตุการณ์การใช้กระสุนจริง
หลายอย่างก็บ่งบอกให้เห็นถึงความเป็นกลุ่มอำนาจคู่แฝดจริงๆ!