คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
คืนสู่สมณเพศ – ก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำตัดสินศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำสั่งยกฟ้องอดีตพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธัมโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา และอดีตเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร พร้อมอดีตพระอรรถกิจโสภณ อดีตเลขานุการ
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์ว่าการใช้งบอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม 5 ล้านบาท ไปก่อสร้างอาคารร่มธรรม ไม่เป็นการฟอกเงินตามฟ้อง รวมถึงไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 157
สำหรับคดีนี้ถูกฟ้องฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงินจากการทุจริตจัดสรรเงินงบประมาณจำนวน 5 ล้านบาท ในงบส่วนอุดหนุนการศึกษาโรงเรียน พระปริยัติธรรม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกอดีต พระพรหมดิลก ฐานร่วมกันฟอกเงิน 2 กระทง กระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 6 ปี
ส่วนอดีตพระอรรถกิจโสภณ จำคุก 2 กระทง กระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี
ต่อมาทั้งอดีตพระพรหมดิลกและอดีตพระอรรถกิจโสภณ ได้อธิษฐานจิตต่อคณะสงฆ์วัดสามพระยา กลับมาถือครองผ้าเหลืองอีกครั้ง
ล่าสุดพระผู้ใหญ่วัดสระเกศวรวิหาร ถูกจับกุมดำเนินคดี และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ก็กลับมาครองผ้ากาสาวพัสตร์ อีกครั้ง
ประกอบด้วย อดีตพระพรหมสิทธิ อดีตเจ้าอาวาสและเจ้าคณะภาค 10, อดีตพระราชกิจจาภรณ์, อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์, อดีตพระศรีคุณาภรณ์ และอดีตพระครูสิริวิหารการ
โดยระบุคำพิพากษาของศาลชี้ว่าไม่พบความผิดในคดีทุจริต ขณะที่ในคดีฐานฟอกเงินนั้นศาลแพ่งก็ได้พิพากษาแล้วว่าไม่มีความผิด และให้คืนเงินที่อายัดไปทั้งหมดแล้ว
เมื่อไม่มีการทุจริต จึงไม่มีความผิดทางวินัยสงฆ์ที่เข้าข่ายอาบัติปาราชิก อีกทั้งช่วงการสืบคดีของศาลก็มีบันทึกยืนยันระบุชัดเจนว่า ต่อสู้คดีขณะครองสมณเพศ แม้กระทั่งตอนที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำ ก็บันทึกไว้ว่ายังไม่ได้สละสมณเพศ
ดังนั้น จึงไม่มีข้อใดเข้าข่ายที่จะต้องสละสมณเพศ
คณะสงฆ์วัดสระเกศจึงเห็นควรให้เข้ากลับคืนหมู่คณะสงฆ์ต่อไป
เป็นเหตุที่เกิดขึ้นกับคณะสงฆ์ที่ต้องบันทึกไว้
เภรี กุลาธรรม