คอลัมน์ บทบรรณาธิการ

หากไม่ทำอะไรเลย – จากการคาดการณ์ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อีก 1 เดือนข้างหน้าหลังสงกรานต์ “หากไม่ทำอะไรเลย” ตัวเลขผู้ติดเชื้อ รายใหม่เพิ่มถึงวันละ 2 หมื่นคนขึ้นไป

แต่ระบุว่าการออกมาตรการต่างๆ ที่พยายามจะควบคุมหรือล้อมคอกการระบาดในตอนนี้ ไม่น่าจะทำให้ไทยไปถึงจุดนั้น

ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่รัฐบาลตีกรอบไว้ให้ ลดลงคืออยู่ประมาณไม่เกินวันละ 600 และทยอยให้ไม่เกิน 400 คน จากที่ขณะนี้ใกล้เคียงอยู่ที่ วันละพันคน

ความวุ่นวายและความวิตกกังวลขณะนี้จึงเป็นเรื่องของสาธารณสุขเป็นหลัก ไม่ว่าการจำกัดกิจกรรมทางสังคม การตรวจหาเชื้อ การเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล หรือการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม

แต่อาการชาที่จะตามมาหลังสงกรานต์ คือสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ

นับตั้งแต่การระบาดระลอกแรก เมื่อช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปีก่อน อาการชาทางเศรษฐกิจของไทยยังคงเป็นมาถึงขณะนี้

ตลอดหนึ่งปีนี้ รัฐบาลต้องใช้โครงการเยียวยาออกมาหลายตัว จากเงินที่กู้มาแล้ว 1 ล้านล้านบาท แม้จะแสดงอาการภาคภูมิใจอยู่หลายครั้งว่า กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยได้เป็นระยะๆ แต่สภาพการณ์โดยรวมยังคง “ชา” อยู่

ก่อนเกิดการระบาดระลอกที่สาม ต้นตอจากผับหรูกรุงเทพฯ ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมิน แนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้ไม่สดใสเท่าที่ควร พร้อมปรับลดการขยายตัวของจีดีพีของปี 2564 ลดลงมาอยู่ระดับร้อยละ 3

ส่วนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม มองว่า จากสถานการณ์ล่าสุดจะทำให้เศรษฐกิจจะซึมยาว

จากเดิมที่คาดว่าจะฟื้นช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้คงไม่ใช่แล้ว

ปัจจุบันไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อเกิน 36,000 คน อยู่อันดับที่ 112 ของโลก ยังเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก 138 ล้านคน

แต่ผลกระทบของโรคระบาดสะเทือนเศรษฐกิจของประเทศอย่างหนัก เพราะภาคการท่องเที่ยวและการบริการขยับไม่ได้

นอกจากการระบาดรอบใหม่จะขยายวงกว้างกว่าทุกครั้ง มาตรการของรัฐที่เหมือนละล้าละลัง เนื่องจากไม่มีวัคซีนเพียงพอที่จะรับมือ

เมื่อไม่รู้จะเดินหน้าหรือถอยหลัง ได้แต่ไล่ตามปัญหามากกว่าสกัดปัญหา จึงทำให้เศรษฐกิจชาไปทั่วประเทศ

น่าวิตกว่า เมื่อหายจากอาการชาหลังสงกรานต์แล้ว หากไม่ทำอะไรเลย ความรู้สึกเจ็บปวดทางเศรษฐกิจของจริงจะตามมา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน