โลก (1) – ต่อจากสัญลักษณ์ของนรก และสวรรค์ ก็คือโลก

การที่มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันต่างก็อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ มนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ ต่างศรัทธาและความ เชื่อ มองว่าโลกนี้คือ อะไรแน่

ชาวมุสลิมมีความเชื่อเรื่องของโลก แตกต่างกับความเชื่อของชาวคริสต์ และต่างก็แตกต่างจากโลกของพุทธ ฮินดู และในศาสนาอื่นๆ ที่มีอยู่มากมายในโลกใบเดียวนี้ก็แตกต่างกันออกไป

โลก สำหรับนักฟิสิกส์ก็มองโลกแตกต่างไปอีกแบบหนึ่ง นอกจากจะมองโลกแตกต่างไปจากศรัทธาทางศาสนาแล้ว โลก ของนักฟิสิกส์ก็ยังพิสูจน์ได้จากข้อเท็จจริงที่ฝ่ายของชาวฟิสิกส์ นำมาแสดง

โลกของนักฟิสิกส์มีขนาดเล็กนิดเดียว เปรียบได้เป็นฝุ่นในจักรวาล เป็นโลกทางวัตถุ เป็นรูปธรรม มีลักษณะกลม หมุนรอบตัวเอง และรอบดวงอาทิตย์ที่มีดาวบริวาร มีลักษณะกลม หมุนรอบตัวเองและรอบดวงอาทิตย์เหมือนโลก และดวงอาทิตย์ก็พาดาวบริวารทั้งปวงเดินทางเป็นวงกลมอยู่แนวส่วนกลางรอบนอกของดาราจักรทางช้างเผือก

โลกของกลุ่มศาสนิกชนแตกต่างจากโลกของชาวฟิสิกส์ โลกของกลุ่มศาสนิกชนมีฐานะเป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรมรวมกัน

โลกของชาวมุสลิมมีสภาวะเป็น 3 โลก โลกที่มนุษย์อยู่อาศัยในปัจจุบันเรียกว่า โลกแห่งดุนยา เป็นโลกให้เราอาศัยชั่วคราว ไม่ถาวร เป็นที่พักอาศัยที่ดี ที่ดึงดูดให้มนุษย์เพลิดเพลิน พระผู้เป็นเจ้าสร้างโลกเพื่อให้มนุษย์คู่แรกออกจากสวนสวรรค์ เพราะมีความขัดแย้งกันกับในบางสิ่งบางอย่าง

โลกอีกสภาวะคือ โลกแห่งบัรซัค เป็นโลกแห่งความตายของมนุษย์ที่เมื่อตายแล้วจะถูกเก็บไว้ในพื้นที่นี้ เพื่อรอการกลับมามีชีวิต เพื่อรอการตัดสินในวันตัดสินโลกเมื่อโลกแห่งดุนยาสูญไป

โลกสุดท้ายคือ โลกแห่งอาคีเราะห์ เป็นโลกที่เกิดขึ้นใน วันตัดสินโลก มนุษย์จะกลับมามีชีวิตอีกเพื่อจะได้รับการตัดสินว่าสิ่งที่มนุษย์ได้ทำไปในโลกแห่งดุนยานั้นทำบาปหรือทำดี ผู้มีศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวก็จะได้มีชีวิตนิรันดร์ในสวนสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำบาปก็จะตกสะพานที่จะข้ามไปสู่สวรรค์นั้นลงสู่นรก ชั่วนิรันดร์

โลกในคริสต์ศาสนา เป็นนามธรรมมากกว่ารูปธรรม เพราะจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าคือ เตรียมสถานที่ให้บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าอาศัยอยู่ในความเป็นนิรันดร์ และพิสูจน์คุณค่าของตนตามพระบัญญัติ เพื่อกลับไปสู่พระผู้เป็นเจ้า

ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน