ลอบใช้ฮ.หลวงพ่นพิษ – กลายเป็นเรื่องขึ้นมาทันที เมื่อเพจดังนำคลิปฉาวในแวดวงข้าราชการมาเปิดเผย

เป็นเหตุการณ์ของข้าราชการของรัฐ ที่ใช้ทรัพย์สินของทางราชการผิดประเภทคือ เฮลิคอปเตอร์ของหน่วยงานของรัฐ จากที่จะใช้เพื่อปฏิบัติภารกิจให้คุ้มค่ากับภาษีของประชาชนที่จ่ายไป

กลับไปใช้เป็นการส่วนตัว พาภรรยาเดินทางชมวิวเหนือน่านฟ้า แถมยังอัดคลิป ถ่ายรูปโพสต์อวด เมื่อเรื่องปรากฏขึ้นในความรับรู้ของสังคม ผู้บังคับบัญชาจะเพิกเฉยช่วยเหลือก็ลำบาก

สุดท้ายก็ต้องลงโทษ โดยในกรณีของ พ.ต.ท. เมื่อสั่งย้ายเข้าประจำแล้ว ก็ต้องโดนกักยามอีก 14 วัน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ถูกย้ายเข้าประจำ และถูกสอบสวนวินัย เพราะตอนรายงานผู้บังคับบัญชากลับบอกว่าแค่ขึ้นไปนั่งถ่ายรูปเฉยๆ โดยเครื่องไม่ได้บิน

แต่ก็สวนทางกับภาพที่ปรากฏ

แม้จะเป็นการลงโทษที่ไม่รุนแรง แต่ก็กระทบต่อความก้าวหน้าในชีวิตราชการ

ถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจสำหรับข้าราชการทั้งหลาย

● ฟันพตท.พาเมียขึ้นฮ.ตร.

เหตุการณ์นี้ปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันที่ 19 เม.ย. โดย พล.ต.ต. ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า จากกรณีที่โซเชี่ยลมีเดียแชร์คลิปในแอพพลิเคชั่น Tiktok เป็นคลิปหญิงสาวถ่ายกับเฮลิคอปเตอร์ มีตราสัญลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนขึ้นไปนั่งภายในเครื่องบิน ถ่ายให้เห็นบรรยากาศภายในเฮลิ คอปเตอร์ เห็นนักบินที่แต่งกายคล้ายเครื่องแบบนักบินของตำรวจ และถ่ายเห็นทิวทัศน์สวยงามจากมุมสูง พร้อมติดแฮชแท็ก ความสุข HAPPYDAY HAPPYLIFE โดยล่าสุดหญิงสาวคนดังกล่าวลบคลิปออกจากแอพ พลิเคชั่นแล้ว

จากการตรวจสอบพบว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 29 ก.ย. 2562 โดยตำรวจรายนี้คือ พ.ต.ท.อรรคพล ยี่เกาะ สว.กก.สส.ภ.จว.อุดรธานี เป็นหน้าห้องของอดีตรอง ผบช.ภ.4 โดยวันดังกล่าวไปราชการกับผู้บังคับบัญชา แต่มีภรรยาติดตามไปด้วย จึงให้ภรรยาเดินทางร่วมคณะด้วย

นอกจากนี้ยังปรากฏคลิปวิดีโอ พ.ต.ท.อรรคพลแต่งเครื่องแบบตำรวจเต้นใน Tiktok ด้วย ซึ่งได้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากเป็นการกระทำผิดระเบียบ ในเรื่อง “การใช้สื่อสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม TIKTOK ของข้าราชการตำรวจ” ข้อ 9.ข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์อันดีของความเป็นข้าราชการตำรวจ ก่อให้เกิดความตลกขบขัน วิพากษ์วิจารณ์ใน เชิงลบ ลดความเชื่อมั่น ศรัทธาต่องานตำรวจ ทั้งที่เป็นปัจเจกบุคคล และองค์กรตำรวจโดยรวม

หากพบว่ามีความผิดก็ต้องพิจารณาทัณฑ์ทางวินัยตามระเบียบ ต่อไป

บรรดาภาพและคลิปที่โพสต์ลงโซเชี่ยล

ขณะที่ พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี มีคำสั่งให้ พ.ต.ท.อรรคพล ยี่เกาะ สว.กก.สส.ภ.จว.อุดรธานี ไปปฏิบัติราชการประจำศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี โดยให้ขาดจากตำแหน่งและสังกัดเดิม พร้อมตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง หากพบว่ามีความผิดก็จะลงโทษทางวินัย

พร้อมระบุว่า แม้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2562 แต่พบว่าเพิ่งมีการนำคลิปและภาพนิ่งมาลงในระบบโซเชี่ยล เมื่อวันที่ 18 เม.ย. เวลา 17.00 น. ส่วนทำไมเหตุการณ์ผ่านมานานแล้วถึงเพิ่งนำมาลง ก็ต้องสอบสวนต่อไป ซึ่งหลังจากสั่งย้ายและตั้งกรรมการสอบแล้วจะสรุปผลภายใน 7 วัน ยืนยันให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

ต่อมาวันที่ 28 เม.ย. พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จตช. ระบุว่า ผลการตรวจสอบจาก บก.ภ.จว.อุดรธานี พบแล้วว่ามีความผิดจริงทั้ง 2 กรณี จึงสั่งลงโทษ พ.ต.ท.อรรคพล ฐานประพฤติตนไม่เหมาะสม ให้กักยาม กระทงละ 7 วัน รวม 2 กระทงเป็น 14 วัน

เป็นอุปสรรคต่ออนาคตราชการอย่างน่าเสียหาย

● ป่าไม้อ้างแค่ถ่ายรูปเล่น

อีกกรณีคือเฟซบุ๊กเพจ ‘ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน’ นำรูปภาพ เจ้าหน้าที่ ที่ระบุว่าเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า หน่วยป่าไม้บ้านโป่ง (สปป.1) นำหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) บินตรวจป่า มีการกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่นำเครื่องแบบนักบินของตัวเอง ให้หญิงคนดังกล่าวสวมด้วย ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโซเชี่ยลเป็นจำนวนมาก

หลังกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เมื่อวันที่ 20 เม.ย. นายชาติชาย ศรีแผ้ว หัวหน้าสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่าที่ 1 ภาคกลาง รายงานต่อผู้บังคับบัญชา ระบุว่า จากภาพข่าวเหตุการณ์ที่มีเจ้าหน้าที่สปป.1 พาภรรยาขึ้นไปถ่ายรูปบนเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์

ตรวจสอบพบว่าเจ้าหน้าที่คือ นายพัฒนยุทธ เพ็ชรมณี ตำแหน่งพนักงานพิทักษ์ป่า ระดับ ส.3 ชี้แจงว่าเหตุการณ์ตามภาพข่าวที่เกิดขึ้นประมาณเดือน ม.ค. 2564 มีแผนบินที่จะต้องบินตรวจสอบสภาพป่าบริเวณอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ

หลังจากบินเสร็จสิ้นภารกิจ เครื่องบินมาจอดที่เขื่อนวชิราลงกรณ ซึ่งนายพัฒนยุทธขออนุญาตกัปตันเพื่อขอถ่ายรูปในขณะนั่งถ่ายในตัวเครื่องบิน ไม่ได้ขึ้นบินแต่อย่างใด

แต่หลังจากที่คำชี้แจงออกมา เพจ ‘ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน’ ก็ออกมาเคลื่อนไหวตอบโต้ ระบุว่า เหตุใดการถ่ายรูปเล่นขณะจอด ถึงเห็นวิวเมฆและท้องฟ้าอยู่ด้านหลัง!!

ส่งผลให้ถึงขนาดปลัดกระทรวงกุมขมับ โดยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดทส. ระบุว่า ได้รับรายงานเช่นกันว่า ภาพที่เห็นในตอนแรกเป็นเพียงการถ่ายรูปเล่น โดยที่เฮลิคอปเตอร์ไม่ได้ยกตัว แต่ต่อมากลับเห็นภาพขณะที่เห็นเฮลิคอปเตอร์อยู่กับภูเขาและก้อนเมฆด้วย จึงสั่งให้ทางผู้อำนวยการกองการบินไปตรวจสอบแผนการบิน ซึ่งจะมีการบันทึกเอาไว้ชัดเจน ว่ามีใครขึ้นบินบ้าง แผนการบินเป็นอย่างไร

“ผมก็ปวดหัวเหมือนกันในเรื่องแบบนี้ ถามว่าเป็นความผิดร้ายแรงหรือเปล่าก็ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องของความไม่เหมาะสม และไม่สมควรจะมีเรื่องแบบนี้ การทำงานของทส.มีคนจับตามากพออยู่แล้ว ไม่ควรต้องให้มาปวดหัวกับเรื่องแบบนี้อีก ซึ่งผมก็ตำหนิคนที่ทำไปแล้ว และหากตรวจสอบพบว่ามีการบินจริง โดยให้ภรรยา หรือผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นไปนั่งบนเฮลิคอปเตอร์โดยไม่มีเหตุสมควรก็จะตั้งกรรมการสอบ ต่อไป” นายจตุพรกล่าว

กลายเป็นเรื่องรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาอีกเรื่อง!??

● สั่งประจำ-จ่อตั้งกก.สอบวินัย

ขณะที่นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า มอบหมายให้นายจตุพร รวมทั้งนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตรวจสอบในเรื่องนี้ ซึ่งสามารถไปดูตารางการบินในวันนั้นๆ ได้ ไม่น่ามีอะไรยุ่งยาก ทุกอย่างมีขั้นตอนอยู่แล้ว หากพบว่าเป็นเรื่องจริง ถือว่าเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต ก็จะมีโทษตามระเบียบราชการอยู่แล้ว

ต่อมาวันที่ 25 เม.ย. นายศักดิ์ชัย จงกิจวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันปราบปราม และควบคุมไฟป่า มีคำสั่งสำนักป้องกันปราบปรามและควบคุมไฟป่า ที่ 18/2563 เรื่อง มอบหมายให้ลูกจ้างประจำปฏิบัติราชการ ระบุว่า ตามคำสั่งสำนักป้องกันปราบปรามและควบคุมไฟป่า ที่ 5/2563

ให้นายพัฒนยุทธ เพ็ชรมณี พนักงานพิทักษ์ป่า ระดับ ส.3 สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 ช่วยราชการสำนักป้องกันปราบปรามและควบคุมไฟป่า ปฏิบัติราชการสำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 1 (ภาคกลาง) ประจำหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2563 จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2564 นั้น

สำนักป้องกันปราบปรามและควบคุมไฟป่า พิจารณาแล้วเพื่อความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จึงมอบหมายให้นายพัฒนยุทธ เพ็ชรมณี พนักงานพิทักษ์ป่า ระดับ ส.3 ไปประจำส่วนยุทธการด้านป้องกันและปราบปราม โดยปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และหนังสือสั่งการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ในการเดินทางไปติดต่อราชการนอกสำนักงานให้ขออนุมัติจากผู้บังคับบัญชาก่อนทุกครั้ง

เป็นอุทาหรณ์ให้ระมัดระวังการใช้ของหลวง!!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน