การลุกขึ้นสู้ 1 สิงหา หนานซาง(91) – พรรคคอมมิวนิสต์จีนหลังถูกล้อมปราบอย่างหนักหนาสาหัสที่เซี่ยงไฮ้ในเดือนเมษายน นำไปสู่การวิพากษ์ความผิดพลาดของเฉินตุ๊ซิ่วและพยายามที่จะปรับขบวนปรับและแก้ปัญหาภายใน
เป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่ยังยืนหยัดต่อสู้อย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
ทวีป วรดิลก ระบุว่าหลังจากต้องประสบความพินาศย่อยยับเป็นครั้งแรกพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้พิสูจน์ตนเองว่า “ฆ่าไม่ตาย ทำลายไม่สิ้น”ด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการกรมการเมืองชั่วคราวขึ้น
มีฉีซิวไป๋เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ของพรรค
ฉีซิวไป๋เป็นนักศึกษาวรรณคดีรัสเซียและเป็นนักหนังสือพิมพ์จีนที่ได้ไปประจำที่กรุงมอสโก จากนั้นเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียแล้วจึงกลับมาจีน
ได้มีการประชุมที่จิ่วเจียงเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 1927
และก็ได้จัดตั้งคณะกรรมการแนวรบขึ้นชุดหนึ่ง โจวเอินไหลเป็นเลขาธิการ เตรียมการที่จะสู้รบกับก๊กมินตั๋งด้วยกำลังอาวุธ ตัดขาดนโยบายร่วมมือเป็นพันธมิตรกันมาเดิมทั้งหมด
นี่เป็นอีกพัฒนาการหนึ่งในการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ ทวีป วรดิลก ยกเอาคำกล่าวของเหมาเองที่ว่า “ทั้งคอมมิวนิสต์จีนและประชาชนจีน ต่างก็ลุกขึ้นมายืนหยัดอีก เช็ดคราบเลือดออกไปจากตัว
ขุดหลุมฝังศพเพื่อนแก้วเกลอขวัญ แล้วก็ดำเนินการต่อสู้ต่อไป”
วันที่ 1 สิงหาคม โดยการวางแผนของโจวเอินไหล กำลังทหารประมาณ 30,000 คนซึ่งจัดตั้งโดยคอมมิวนิสต์ ประกอบด้วยกองพลที่ 24 แห่งกองทัพที่ 11 มีเย่ถิง นายทหารคอมมิวนิสต์เป็นผู้บัญชาการ
ร่วมกับกำลังนักเรียนนายร้อยจากหยุนหนานและเจียงซีภายใต้การบัญชาการของจูเต๋อ และกองทัพที่ 20 ภายใต้การบัญชาการของเฮ่อหลง นายทหารฝ่ายซ้ายของพรรคก๊กมินตั๋งซ่างขณะนั้นยังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์
ก็ได้เข้ายึดอำนาจหนานซาง เมืองหลวงของมณฑลเจียงซี
กำลังทหารดังกล่าวเป็นกำลังพื้นฐานของ “กองทัพแดง” วันที่ 1 สิงหาคมจึงถือกันว่าเป็นวันสถาปนา “กองทัพแดง” นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้ฐานคิดที่ว่า “อำนาจรัฐเกิดจากปากกระบอกปืน”
กระนั้น การยึดอำนาจด้วยกำลังอาวุธที่หนานซางก็มีอายุเพียง 4 วัน ในวันที่ 5 สิงหาคม กองทัพก๊กมินตั๋งซึ่งมีกำลังเหนือกว่ามากก็ได้ยกเข้าโจมตีกองทัพแดงจนต้องถอยร่นออกไปทางกว่างตง
และในตอนสิ้นเดือนกันยายนก็เข้ายึดซัวเถาไว้ได้
ในวันที่ 7 สิงหาคม คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เปิดประชุมฉุกเฉินขึ้นที่ฮั่นโขว เฉินตุ๊ซิ่วถูกปลดออกจากตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ ฉีซิวไป๋ได้รับเลือกเข้ามาแทน
ที่ประชุมได้กำหนดนโยบายใหม่ให้ใช้นโยบายต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธต่อไป
แต่การปราชัยของลัทธิฉวยโอกาสเอียง “ขวา” ก็ยังผลให้ลัทธิฉวยโอกาสเอียง “ซ้าย” อันประกอบด้วยจางกว๋อเถากับหลี่ลี่ซานมีฐานะเข้มแข็งขึ้น
ต่อมาก็สามารถครอบงำการนำของพรรคไว้ได้
ที่ประชุมมอบหมายให้เหมารับหน้าที่ในการดำเนินการติดอาวุธชาวนาในมณฑล หูหนานและเจียงซีซึ่งเป็นบันไดขั้นแรกในการเริ่มต้นยุคแห่งการลุกฮือขึ้นยึดอำนาจของชาวนาในหน้าเก็บเกี่ยว
นี่เป็นบทบาทอันสำคัญของเหมาในห้วงหลังสถานการณ์เดือนเมษายน 1927
จากนี้จึงเห็นได้ว่าการลุกขึ้นสู้ที่หนานซางซึ่งนำโดยโจวเอินไหลเมื่อเดือนสิงหาคม มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับการลุกขึ้นสู้ในหน้าเก็บเกี่ยวของชาวนาใน หูหนานและเจียงซี
เพียงแต่อย่างแรกใช้กำลังทหาร ขณะที่อย่างหลังใช้กำลังของชาวนาติดอาวุธ
ที่น่าสนใจก็คือ แม้กำลังด้านหลักที่ได้รับมอบหมายจากพรรคคือกำลังของชาวนา แต่เหมาต้องการกำลังของทหารเข้ามามีส่วนร่วมในการหนุนช่วยปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย
นั่นก็คือกำลังของหลูเต้อหมิงซึ่งเคยอยู่ในกรมอิสระของเย่ถิง
หลูเต้อหมิงได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมที่หนานซางแต่เมื่อมีการถอนตัวเสียก่อนจึงนำทัพมาอยู่ที่เขตแดนต่อแดนเจียงซี หูหนาน หูเป่ย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่อำนาจรัฐ 3 มณฑลเอื้อมือไปไม่ถึง
และพักทัพอยู่ที่อำเภอซิวสุ่ยรอคำสั่ง