เคลื่อนไหว ปัญญาชน กรรมกร(98) – เมื่อผ่านสมัชชาพรรคครั้งที่ 1 ในเดือนสิงหาคม 1921 ที่เซี่ยงไฮ้ พลันที่หวนกลับสู่ฉางฉาแห่งมณฑลหูหนานงานแรกของเหมา คือ การวางรากฐานให้กับพรรค คอมมิวนิสต์
จากนั้น ก็เริ่มทำงานแรกตามความสันทัดและตามหลักการ
ความสันทัดในที่นี้ คือ งานในกลุ่มปัญญาชนผ่านการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรม การจัดตั้งสถาบันเพื่อจัดการศึกษาอันเป็นงานที่เหมาสันทัดตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน นักศึกษา
จากนั้น จึงค่อยรุกคืบไปสู่การจัดตั้งกรรมกร ผู้ใช้แรงงาน
ความจริงในห้วงที่เป็นนักศึกษาในสถาบันฝึกหัดครู เหมาเคยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเพื่อนนักศึกษาไปทำงานทางด้านวัฒนธรรมกับกรรมกร ผู้ใช้แรงงานอย่างต่อเนื่อง
จึงไม่ยากเมื่อเขาลงไปอยู่ในท่ามกลางผู้ใช้แรงงาน
ไม่ว่าจะเป็นกรรมกรเหมืองแร่ถังหยวนในเขตแดนต่อแดนหูหนาน เจียงซี
ไม่ว่าจะเป็นกรรมกรรถไฟ ไม่ว่าจะเป็นกรรมกรในพื้นที่ของหูหนาน
ห้วงเวลานี้เองที่เหมากับหลิวส้าวฉีได้ทำงานร่วมกัน
อาจกล่าวได้ว่า เหมาสะสมความจัดเจนจากการทำงานร่วมกับปัญญาชนและกรรมกรอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ของมณฑลหูหนานที่เขาอยู่ในฐานะเป็นเลขาธิการ
แต่ความโน้มเอียงที่ลึกซึ้งเป็นอย่างมาก คืองานชาวนา
อย่าได้แปลกใจหลังจากจากแรงผลักดันของคอมมิวนิสต์สากลและสหภาพโซเวียตอันนำไปสู่การสร้างพันธมิตรระหว่างก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน
เหมาเป็นคนหนึ่งที่เข้าไปทำงานผ่านพรรคก๊กมินตั๋ง
ที่นี่ไม่เพียงแต่เหมาจะได้บ่มสร้างพันธมิตรกับชาวพรรคก๊กมินตั๋งหลายคน ได้เรียนรู้จากการทำงานร่วมและขัดแย้งกันอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นจังจิงไว ไม่ว่าจะเป็นเจียงไคเช็ก
ในเบื้องต้นเหมาทุ่มเทให้กับการทำงานในด้านการโฆษณา ศึกษา รับผิดชอบการ เขียนบทความผ่านหนังสือพิมพ์ของพรรคและสัมพันธ์ผ่านรัฐบาล
แต่เมื่อนานวันเข้าความโน้มเอียงของเหมาเน้นไปทางด้านชาวนา
ความจริง งานทางด้านชาวนามิได้มีแต่เหมาเท่านั้นภายในพรรคคอมมิวนิสต์ยังมีเผิงพ่ายซึ่งมีรากฐานอันแข็งแกร่งอยู่ในมณฑลกว่างตงมาอย่างยาวนาน
เพิงพ่ายลงไปจัดตั้งชาวนาสร้างความแข็งแกร่งเป็นอย่างสูง
ขณะที่เหมาต้องผ่านการต่อสู้ในเรื่องของชาวนาไม่เพียงแต่ภายในพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น หากแม้กระทั่งเมื่อกระทำในนามของพรรคก๊กมินตั๋งก็ประสบปัญหา
เป็นปัญหา “การนำ” เป็นปัญหาว่าจะไปไกลและลงลึกเพียงใด
น่าสังเกตว่าการรุกเข้าไปทำงานชาวนาของเหมาและพรรคคอมมิวนิสต์ดำเนินไปท่ามกลางการเปิดสงครามปราบขุนศึกภาคเหนือที่ชาวนามีบทบาทอย่างสำคัญ
และจากสงครามปราบขุนศึกภาคเหนือนี้เองบทบาทของเจียงไคเช็กก็โดดเด่น
เป็นความโดดเด่นที่เจียงไคเช็กสร้างบทบาทและสถานภาพทางการทหาร เติบใหญ่อยู่ในกองทัพและรัฐบาล แต่เหมาเริ่มลงไปสัมผัสกับชาวนาอย่างจริงจัง
จริงจังกระทั่งมองเห็น “พลัง” อันยิ่งใหญ่ มหาศาล
จากนี้จึงนำไปสู่ภาพเปรียบเทียบที่ไม่ควรมองข้ามระหว่างเจียงไคเช็กกับเหมาซึ่งจะเป็นคู่สัประยุทธ์กันอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
ทั้งในทาง “การเมือง” และโดยเฉพาะทางด้าน “การทหาร”
หากกล่าวสถานะโดยรวม เจียงไคเช็กซึ่งแสดงบทบาทการเป็นทายาทและ ผู้สืบทอดแนวทางของซุนยัตเซ็น อาจจะล่วงหน้าไปเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะความสำเร็จจากการทำสงครามปราบขุนศึกภาคเหนือ
กระนั้น ก็มิอาจมองข้ามบทบาทของเหมาในการลงไปเคลื่อนไหวในหมู่ชาวนาโดยเฉพาะชาวนามณฑลหูหนานอันเป็นบ้านเกิดของเหมาเอง
ชาวนานั่นแหละที่สร้างจุดเปลี่ยนอย่างสำคัญให้กับเหมา