หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคแต่ละรอบมาอย่างเหนื่อยยาก คืนนี้ก็รู้กันแน่นอนโฉมหน้าแชมป์คาราบาว คัพ อังกฤษ ประจำฤดูกาล 2021-22 ระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่ของชาติ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี หรือจะเป็น “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แต่ไม่ว่าแชมป์จะตกไปอยู่ฝั่งไหน ก็มั่นใจเลยว่าสู้กันเดือดชัวร์

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565

คาราบาว คัพ อังกฤษ นัดชิงชนะเลิศ

เชลซี – ลิเวอร์พูล เป็นการชิงชัยกันระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีก “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ดวลแข้งกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่สนามเวมบลีย์ สเตเดียม กรุงลอนดอน ถ่ายทอดสดทางช่องพีพีทีวี

ย้อนเส้นทางที่ผ่านมา เชลซีเริ่มต้นจากรอบสาม เปิดบ้านเสมอแอสตัน วิลลา จากพรีเมียร์ลีก 1-1 (ชนะจุดโทษ 4-3), รอบสี่ เปิดบ้านเสมอเซาธ์แฮมป์ตัน จากพรีเมียร์ลีก 1-1 (ชนะจุดโทษ 4-3), รอบก่อนรองชนะเลิศ บุกชนะเบรนต์ฟอร์ด จากพรีเมียร์ลีก 2-0, รอบรองชนะเลิศ เจอกับท็อตแนม ฮอตสเปอร์ จากพรีเมียร์ลีก เชลซีชนะด้วยผลรวม 2 นัด 3-0

ด้านลิเวอร์พูลเริ่มจากรอบสาม บุกชนะ นอริช ซิตี้ จากพรีเมียร์ลีก 3-0, รอบสี่ บุกชนะเปรสตัน นอร์ทเอนด์ จากลีกแชมเปียนชิพ 2-0, รอบก่อนรองชนะเลิศ เปิดบ้านเสมอเลสเตอร์ ซิตี้ จากพรีเมียร์ลีก 3-3(ชนะจุดโทษ 5-4), รอบรองชนะเลิศ เจอกับอาร์เซนอล จากพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลชนะด้วยผลรวม 2 นัด 2-0

สถานการณ์ในพรีเมียร์ลีกล่าสุด เชลซีแข่ง 25 นัด ชนะ 14 เสมอ 8 แพ้ 3 เก็บไป 50 คะแนน รั้งอันดับ 3 ขณะที่ลิเวอร์พูลลงเตะ 26 นัด ชนะ 18 เสมอ 6 แพ้ 2 มีอยู่ 60 คะแนน ยึดตำแหน่งรอง จ่าฝูง

สำรวจฟอร์ม 5 นัดหลังรวมทุกรายการ เชลซีเสมอ พลีมัธ อาร์ไกล์ 1-1 (เอฟเอ คัพ-เหย้า, ต่อเวลาชนะ 2-1), ชนะอัล ฮิลัล 1-0 (ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ-สนามกลาง), เสมอพัลเมยรัส 1-1 (ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ-สนามกลาง, ต่อเวลาชนะ 2-1), ชนะคริสตัล พาเลซ 1-0 (พรีเมียร์ลีก-เยือน), ชนะลีลล์ 2-0 (ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก-เหย้า)

ส่วนลิเวอร์พูลชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 2-0 (พรีเมียร์ลีก-เหย้า), ชนะเบิร์นลีย์ 1-0 (พรีเมียร์ลีก-เยือน), ชนะอินเตอร์ มิลาน 2-0 (ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก-เยือน), ชนะนอริช ซิตี้ 3-1 (พรีเมียร์ลีก-เหย้า), ชนะลีดส์ ยูไนเต็ด 6-0 (พรีเมียร์ลีก-เหย้า)

คู่นี้เคยเจอกันมาทั้งหมด 190 ครั้งรวมทุกรายการ เชลซีชนะ 65 นัด เสมอกัน 44 นัด ลิเวอร์พูลชนะ 81 นัด ล่าสุดเจอกันในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ครบ 2 นัดแล้ว เจ๊ากันบ้านลิเวอร์พูล 1-1 และเจ๊ากันบ้านเชลซี 2-2

ผลงานในถ้วยนี้ที่ผ่านมา เชลซีได้แชมป์มาแล้ว 5 สมัย ฤดูกาลก่อน ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่วนลิเวอร์พูลได้แชมป์มาแล้ว 8 สมัย ฤดูกาลก่อนตกรอบสี่

ความพร้อมนัดนี้ เชลซีไม่มี รีซ เจมส์, เบน ชิลเวลล์ (บาดเจ็บ) และต้องเช็กความฟิต มาเตโอ โควาชิช, ฮาคิม ซิเยช, คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย ขณะที่ลิเวอร์พูลขาด โรแบร์โต ฟิร์มิโน (บาดเจ็บ) และต้องลุ้นความฟิต ดิโอโก โชตา

คาดว่าเชลซีจะใช้แผน 3-4-2-1 เกปา อาร์ริซาบาลากา : แอนเดรียส คริสเตนเซน, ติอาโก ซิลวา, อันโตนิโอ รูดิเกอร์ : เซซาร์ อัซปิลิกูเอตา, เอ็นโกโล ก็องเต, จอร์จินโญ, มาร์กอส อลอนโซ : เมสัน เมาต์, คริสเตียน ปูลิซิช : ไค ฮาเวิร์ตซ์

ด้านลิเวอร์พูลคงวางหมาก 4-3-3 ควิวิน เคลเลเฮอร์ : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌเอล มาติป, เฟอร์จิล ฟาน ไดก์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน : ติอาโก อัลคันตารา, ฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน : โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดิโอโก โชตา, ซาดิโอ มาเน

เกมนี้ทั้งคู่คงใช้นักเตะที่ดีที่สุดเกือบทุกตำแหน่ง เรื่องแท็กติกระหว่าง 2 กุนซือก็คงสู้กันสนุก แต่ฝั่งลิเวอร์พูลเกมรุกดูดีกว่า ถ้าให้เลือก “หงส์แดง” มีโอกาสชนะสูงกว่าเล็กน้อย

นักเตะที่น่าจับตาประจำเกมนี้

เชลซี : ไค ฮาเวิร์ตซ์ กองกลางทีมชาติเยอรมนี ฤดูกาลนี้ได้ลงเล่น 30 นัดรวมทุกรายการ ยิงไป 7 ประตู นับเฉพาะ คาราบาว คัพ ลงเล่นไป 2 นัด ยิงได้ 2 ประตู โดยเจ้าตัวถูกจับโยกมายืนศูนย์หน้าตัวเป้าบ่อยครั้ง และเกมนี้เจ้าตัวก็คงได้ลงเล่นตำแหน่งนี้อีก

ฮาเวิร์ตซ์วัย 22 ปี ย้ายจากไบเออร์ เลเวอร์คูเซน มาอยู่ เชลซีเมื่อปี 2020 ด้วยค่าตัวสูงถึง 62 ล้านปอนด์ โดยเจ้าตัวก็เป็นคนซัดประตูชัยในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ ฤดูกาลที่แล้ว ต่อด้วยประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ

ลิเวอร์พูล : โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าทีมชาติอียิปต์ ฤดูกาลนี้เล่นให้ต้นสังกัดรวมทุกรายการ 31 นัด ยิงได้ 27 ประตู แม้จะยังไม่ได้ลงเตะในคาราบาว คัพ ฤดูกาลนี้เลย แต่เมื่อถึงนัดชิงชนะเลิศก็คงต้องได้ทำศึกแล้ว

ซาลาห์วัย 29 ปี ย้ายจากโรมา มาอยู่ลิเวอร์พูลเมื่อปี 2017 ด้วยค่าตัว 43 ล้านปอนด์ ก่อนจะเป็นกำลังสำคัญนำสโมสรประสบความสำเร็จมากมาย รวมถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019-20 ส่วนตอนนี้ก็นำดาวซัลโวลีกด้วยการยิงไปถึง 19 ประตู

ผู้จัดการทีม

เชลซี : โธมัส ทูเคิล (เยอรมนี) กลายเป็นกุนซือมือเทพหลังเข้ามาคุมเชลซีกลางฤดูกาลก่อน แล้วนำทีมผงาดแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก, แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และแชมป์ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ รวมถึงยังได้รองแชมป์เอฟเอ คัพ

ทูเคิลวัย 48 ปี เคยเป็นกุนซือไมนซ์ จากนั้นโยกไปคุม โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ และปารีส แซงต์ แชร์กแมง ซึ่งเจ้าตัวมีแชมป์ติดไม้ติดมือพอสมควร แต่ไม่ได้รับการยอมรับเท่าไหร่ กระทั่งผลงานกับเชลซีทำให้เป็นที่ประจักษ์ว่ากุนซือรายนี้คือของจริง

ลิเวอร์พูล : เจอร์เกน คล็อปป์ (เยอรมนี) เข้ามาคุมลิเวอร์พูลตั้งแต่เมื่อปี 2015 ก่อนจะเปลี่ยนสโมสรแห่งนี้ให้กลายเป็นหนึ่งในทีมที่น่ากลัวสุดของโลกไปแล้ว โดยพาทัพ “หงส์แดง” สัมผัสแชมป์พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ

คล็อปป์วัย 54 ปี ถือว่าเป็นผู้ที่ทูเคิลดำเนินรอยตามอยู่หลายประการ โดยเจ้าตัวเริ่มต้นงานกุนซือทีมอาชีพกับไมนซ์ จากนั้นไปคุมโบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ ซึ่งแต่ละงานที่เจ้าตัวทำนั้นถือว่าประสบความสำเร็จสูง จนมาประกาศศักดากับลิเวอร์พูลในปัจจุบัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน