ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เดินทางมาถึงรอบตัดเชือก คืนนี้ประเดิมแมตช์แรกด้วยการที่รองแชมป์เก่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเปิดบ้านต้อนรับเรอัล มาดริด เจ้าของสถิติแชมป์สูงสุด ด้วยคุณภาพคับแก้วของทั้งคู่ บอกเลยว่านี่จะเป็นเกมที่เร้าใจแน่นอน

วันอังคารที่ 26 เมษายน 2565
ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก
รอบรองชนะเลิศ นัดแรก
แมนเชสเตอร์ ซิตี้-เรอัล มาดริด – “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รองแชมป์เก่าจากอังกฤษ เปิดสนามเอติฮัด สเตเดียม รับการมาเยือนของ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด จากสเปน
เส้นทางที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้เริ่มจากรอบแบ่งกลุ่มได้แชมป์กลุ่มเอที่มีคู่แข่งอย่างไลป์ซิก, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และคลับ บรูช ลงสนาม 6 นัด ชนะ 4 แพ้ 2 เก็บได้ 12 คะแนน
โดยแมนฯ ซิตี้ชนะไลป์ซิก 6-3 (เหย้า), แพ้เปแอสเช 0-2 (เยือน), ชนะคลับ บรูช 5-1 (เยือน), ชนะคลับ บรูช 4-1 (เหย้า), ชนะเปแอสเช 2-1 (เหย้า), แพ้ไลป์ซิก 1-2 (เยือน)
จากนั้นรอบ 16 ทีมสุดท้าย ชนะสปอร์ติง ลิสบอน ด้วยผลรวม 5-0 และรอบก่อนรองชนะเลิศ ชนะแอตเลติโก มาดริด ด้วยผลรวม 1-0

ด้านมาดริดเริ่มจากรอบแบ่งกลุ่ม คว้าแชมป์กลุ่มดีที่มีคู่แข่งอย่างอินเตอร์ มิลาน, เชอริฟฟ์ และชักตาร์ โดเน็ตส์ก ทำผลงานชนะ 5 แพ้ 1 เก็บได้ 15 คะแนน
โดยมาดริดชนะอินเตอร์ 1-0 (เยือน), แพ้เชอริฟฟ์ 1-2 (เหย้า), ชนะชักตาร์ 5-0 (เยือน), ชนะชักตาร์ 2-1 (เหย้า), ชนะเชอริฟฟ์ 3-0 (เยือน), ชนะอินเตอร์ 2-0 (เหย้า)
จากนั้นรอบ 16 ทีมสุดท้าย ชนะเปแอสเชด้วยผลรวม 3-2 และรอบก่อนรองชนะเลิศ เสมอเชลซีด้วยผลรวม 4-4 (หลังต่อเวลานัดที่สอง ชนะผลรวม 5-4)

คู่นี้เคยเจอกันในถ้วยยุโรปมา 6 ครั้ง ผลัดกันชนะฝั่งละ 2 นัด เสมอกันอีก 2 นัด หนล่าสุดพบกันในถ้วยนี้เมื่อฤดูกาล 2019-20 รอบ 16 ทีมสุดท้าย แมนฯ ซิตี้ชนะทั้งเหย้าและเยือนด้วยสกอร์ 2-1 เท่ากัน
ความพร้อมนัดนี้ แมนฯ ซิตี้จะขาดเชา คันเซโล (ติดโทษแบน) และต้องเช็กความฟิต ไคล์ วอล์กเกอร์, นาธาน อาเก, จอห์น สโตนส์ ด้านมาดริดต้องรอดูความฟิต ดาวิด อลาบา, เอเดน อาซาร์, แฟร์กล็องด์ เมนดี

คาดว่าเจ้าบ้านจะใช้แผน 4-3-3 เอแดร์สัน โมไรส์ : ไคล์ วอล์กเกอร์, รูเบน ดิอาส, อายเมอริก ลาปอร์กต์, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก : เควิน เดอ บรอยน์, โรดรี เอร์นานเดซ, อิลคาย กุนโดกัน : ริยาด มาห์เรซ, ฟิล โฟเดน, แบร์นาร์โด ซิลวา
ขณะที่ทีมเยือนคงวางหมาก 4-3-3 ธิโบต์ กูร์กตัวส์ : ดานี การ์บาฆัล, เอแดร์ มิลิเตา, ดาวิด อลาบา, แฟร์กล็องด์ เมนดี : ลูกา โมดริช, คาเซมิโร, โทนี โครส : เฟเดริโก บัลเบร์เด, คาริม เบนเซมา, วินิซิอุส จูเนียร์

ความสำเร็จในรายการนี้ที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้ยังไม่เคยได้แชมป์เลย ตำแหน่งรองแชมป์ฤดูกาลก่อนถือว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรแล้ว

ส่วนมาดริดเคยซิวแชมป์ 13 สมัย ในฤดูกาล 1955-56, 1956-57, 1957-58, 1958-59, 1959-60, 1965-66, 1997-98, 1999-2000, 2001-02, 2013-14, 2015-16, 2016-17, 2017-18 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดด้วย ส่วนฤดูกาลที่แล้วตกรอบรองชนะเลิศ

สำหรับกุนซือทั้ง 2 ฝั่ง เป๊ป กวาร์ดิโอลา ของแมนฯ ซิตี้ เข้ามารับงานกับสโมสรแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อปี 2016 นำทีมคว้าแชมป์ใหญ่อย่างพรีเมียร์ลีก 3 หน, เอฟเอ คัพ 1 หน และลีก คัพ 4 หน
ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยคุมบาร์เซโลนาและบาเยิร์น มิวนิก ซึ่งล้วนแต่ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยเฉพาะการได้สัมผัสโทรฟี่แชมเปียนส์ ลีก สมัยทำงานกับ บาร์เซโลนา ในฤดูกาล 2008-09 และ 2010-11

ส่วนทางฝั่ง คาร์โล อันเชล็อตติ ของมาดริด เคยคุมสโมสรนี้มาแล้วรอบหนึ่งในปี 2013-15 ก่อนจะมารับงานอีกรอบเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา โดยการทำงานรอบแรกเคยนำทีมได้แชมป์รายการนี้เมื่อฤดูกาล 2013-14 บวกกับแชมป์อื่นอย่างโกปา เดล เรย์ 1 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 หน และฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 หน
เจ้าตัวยังเคยทำงานกับเรจจานา, ปาร์มา, ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, เชลซี, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง, บาเยิร์น มิวนิก, นาโปลี และเอฟเวอร์ตัน ภาพรวมถือว่าประสบความสำเร็จสูง โดยเฉพาะการนำมิลานซิวโทรฟี่แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2002-03 และ 2006-07

แมนฯ ซิตี้แม้จะมีขุมกำลังชั้นยอด แต่การเล่นดูเหมือนยังมีจุดอ่อนพอสมควร โดยเฉพาะเกมรับที่ไม่ค่อยแน่นเท่าไหร่ ต้องเจอมาดริดที่ประสบการณ์โชกโชนและลูกล่อลูกชนแพรวพราว มองแล้ว “ราชันชุดขาว” ดีพอจะไม่แพ้กลับออกไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน