เผยโฉมให้เห็นตัวจริงได้ไม่นาน ค่ายดาวสามแฉก เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ตัดสินใจส่งเจ้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ EQS 450+ รถยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรกที่จะทำตลาดในบ้านเราให้ผู้สื่อข่าวได้ทดลองขับ กับทริปกรุงเทพฯ-เขาใหญ่

บอกก่อนว่าคันที่ขับนี้ไม่ใช่เวอร์ชั่นที่ผลิตและจำหน่ายในบ้านเราปลายปีนี้ ดังนั้น ออปชั่นบางอย่างอาจเปลี่ยนไป เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์นักเลงรถ เมืองไทยมากขึ้น

แต่โดยภาพรวมในเรื่องของกำลังมอเตอร์ ความจุแบตเตอรี่ สมรรถนะ ไม่น่าจะต่างจากคันนี้สักเท่าไหร่

ออกเดินทางจากย่านสาทรกันแต่เช้า ช่วงแรกให้ผู้ร่วมทริป วุฒิณี ทับทอง ผู้ช่วยหัวหน้าข่าวโต๊ะรถยนต์ แห่งสำนักประชาชาติธุรกิจเป็นผู้ทดสอบไปก่อน

ส่วนตัวเองกระโดดไปลองนั่งที่เบาะหลัง

แน่นอนว่าพื้นที่ด้านหลังโอ่อ่า กว้างขวาง ช่วงล่างนุ่มสบาย แม้ยามผ่านหลุมบ่อ คอสะพาน ตามนิยามของรถยนต์ตระกูล S ของค่ายนี้

พื้นที่เหนือศีรษะมีให้ค่อนข้างมาก แม้จะเป็นรถดีไซน์แนวคูเป้

แต่ห้ามถามเรื่องความสะดวกสบาย ที่หลายคนติดตามาจาก S-Class รุ่นอื่น ทั้งหน้าจอเพื่อความบันเทิง แยกซ้าย-ขวา หรือจอสั่งงานควบคุมระบบต่างๆ ของตัวรถบริเวณเท้าแขน

เพราะไม่มีอะไรทั้งสิ้น ยังดีที่สั่งงานระบบปรับอากาศแยกอิสระซ้าย-ขวา อย่างที่บอกว่าคันนี้เวอร์ชั่นโยนหินถามทาง ส่วนคันจริง อาจมีอะไรมากกว่าที่เห็น

ได้เวลาเป็นคนขับ เบาะนั่งโอบกระชับนุ่มแน่น กระจกหน้าบานใหญ่ ทัศนวิสัยกว้างไกล

จอ 3 จอ ที่คอนโซลหน้า ต่อเนื่องยาวตั้งแต่ขวาจดซ้าย จอแรกหลังแป้นพวงมาลัยเป็น เรือนไมล์ และแสดงข้อมูลที่จำเป็นในการขับขี่

จอกลางสำหรับความบันเทิง การสื่อสาร และควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ในตัวรถ และจอซ้ายสุดเพื่อผู้โดยสารใช้ในการท่องโลกออนไลน์ หรือความบันเทิงส่วนตัว

หากคุณเป็นผู้ขับขี่ที่ลงทะเบียนไว้แล้ว เมื่อนั่งในตำแหน่งคนขับปุ๊บ ระบบตรวจ พบว่าถูกต้องปั๊บ เบาะนั่ง พวงมาลัย กระจกมองข้าง จะปรับให้อยู่ในตำแหน่งที่กำหนดไว้ทันที

พร้อมออกเดินทาง หันไปกดปุ่มสตาร์ต มอเตอร์ เข้าเกียร์ที่อยู่หลังแป้นพวงมาลัย ตรงนี้ทีมงานวิศวกร เมอร์เซเดส-เบนซ์ ภูมิใจนำเสนออย่างมากว่ายังคงบุคลิกเหมือนกับการขับรถเครื่องยนต์ของค่ายนี้ทุกประการ

เพราะรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป เมื่ออยู่ในรถแล้วแค่เหยียบเบรก มอเตอร์จะทำงานทันที และเกียร์เป็นแบบมือหมุน ที่บริเวณคอนโซลกลาง

นอกจากนี้ อารมณ์การขับขี่มีความใกล้เคียงกับการขับรถเครื่องยนต์เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะช่วงการเปลี่ยนเกียร์ คิกดาวน์ เร่งแซง หรือขึ้นเนินชัน

กำลังจากมอเตอร์ที่เรียกมาใช้งานได้สูงสุด 333 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิด 568 นิวตัน-เมตร ช่วยให้ตัวรถที่มีขนาดใหญ่โตพุ่งทะยานไป ข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวรถสปอร์ตชั้นดี

ขณะที่ช่วงล่างให้ความรู้สึกหนึบแน่น ไม่ว่าจะอยู่บนย่านความเร็วสูง หรือการเข้าโค้ง บนความเร็วมากกว่าปกติ ความเร็วปลาย ที่ทำได้วันนั้นจัดไปปริ่ม 200 ก.ม.ต่อช.ม. และยังมีไปได้ต่อ

มั่นใจได้ในเรื่องของสมรรถนะและเสถียรภาพตัวรถ ตามแบบฉบับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เฉกเช่นเดียวกับรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในทุกประการ

ดีไซน์ภายนอก หากมองเผินๆ อาจนึกไม่ถึงว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% จะมีตรงกระจังหน้าที่ผิดตาไปหน่อย เพราะเป็น แบบปิด สีดำสนิท โลโก้ขนาดใหญ่ตรงกลาง ประดับด้วยดาวสามแฉกเล็กๆ ทั่วกระจังหน้า

ไฟหน้าดิจิตอล พร้อมไฟส่องสว่าง เวลากลางวัน กันชนหน้าเดินเส้นโครเมียม ด้านข้างติดโลโก้ EQS แสดงให้เห็นว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าไว้ที่บริเวณหูช้าง

ด้านท้ายลาดลงสไตล์รถยนต์คูเป้ หลังคาพานอรามิกซันรูฟ กระจกประตูข้างทั้ง 4 บานไร้กรอบ เติมเต็มอารมณ์สปอร์ตยิ่งขึ้น

ขับไปเขาใหญ่ประมาณ 200 ก.ม. ไฟฟ้าในแบตเตอรี่หมดไป 30% บวก ลบ คูณ หารแล้วไฟฟ้าเต็ม 100% วิ่งได้ระยะทาง 700 ก.ม. ตามที่ทีมงานเมอร์เซเดส-เบนซ์บอกไว้ ไม่น่าจะผิดปากไปมากนัก

นักเลงรถหัวใจสีเขียวอดใจรอ ปลายปีนี้ได้เจอเวอร์ชั่นจริง พร้อมราคาที่กระแสว่าน่าจะเร้าใจอยู่ไม่น้อย

กิตติพงศ์ ศรีเจริญ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน