‘โรคกระดูกสันหลังเสื่อม’ นับเป็นโรคที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและความทรมานในผู้สูงอายุ รวมถึงเป็นภาระให้กับผู้ดูแลอย่างมาก
ในเรื่องนี้ นพ.ศรัณย์ ก่อวุฒิกุลรังษี แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ และกระดูกสันหลัง ศูนย์กล้ามเนื้อกระดูกและข้อ โรงพยาบาลนวเวช ได้นำชุดข้อมูลความรู้มาอธิบายให้สามารถเข้าใจได้ง่าย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การใช้ชีวิตในสังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ

โรคกระดูกสันหลังเสื่อม คือความเสื่อมของโครงสร้างร่างกายที่ช่วยให้มนุษย์สามารถยืนหรือนั่งตัวตรงได้ ประกอบไปด้วย ปล้องกระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูก ข้อต่อ เอ็นยึดข้อต่อ และกล้ามเนื้อข้างเคียง มักพบในตำแหน่งที่มีการเคลื่อนไหวเป็นประจำ เช่น กระดูกสันหลังส่วนคอ และกระดูกส่วนเอว โดยส่วนใหญ่จะพบในผู้ป่วยอายุ 40 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเราพบผู้ป่วยที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ เนื่องจากลักษณะการทำงานที่นั่งหรือยืนในท่าเดิมนานๆ และรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป รวมถึงไม่มีเวลาออกกำลังกายเท่าที่ควร

สำหรับโครงสร้างของกระดูกสันหลัง เป็นโครงสร้างตามธรรมชาติของร่างกายที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องระบบประสาทส่วนกลาง ในที่นี้คือไขสันหลังและเส้นประสาท และในมนุษย์มีรูปร่างแตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ เพราะสามารถยืนตั้งตัวตรงได้และช่วยในการเคลื่อนไหว โดยกระดูกสันหลังประกอบไปด้วย 1.ปล้องกระดูกสันหลัง (Vertebra) 2.หมอนรองกระดูกสันหลัง (Intervertebral disc) 3.ข้อต่อระหว่างกระดูก (Facet joint) 4.เอ็นยึดข้อต่อ (Ligament) นอกจากนี้ ยังมีกล้ามเนื้อข้างเคียงที่ช่วยพยุงและยึดโยงกระดูกสันหลังชิ้นต่างๆ เพื่อใช้ในการเคลื่อนไหวของร่างกายอีกด้วย

สาเหตุของโรคกระดูกสันหลังเสื่อม 1.อายุที่มากขึ้น 2.น้ำหนักตัวที่มากเกินไป 3.การอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ เช่น นั่งทำงาน หรือยืน 4.การทำงานใช้งานหลังที่ไม่เหมาะสม เช่น ทำงานในท่าก้มเป็นประจำ เช่น ช่างซ่อมรถยนต์ หรือการแบกของหนักๆ เกินเกณฑ์เป็นเวลานานๆ 5.วิถีชีวิตที่ใช้งานกระดูกคอมากขึ้น เช่น การก้มดูโทรศัพท์มือถือ การใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน

นพ.ศรัณย์กล่าวต่อว่า เมื่อเกิดการใช้งานซ้ำๆ เหล่านี้ หมอนรองกระดูกจะเริ่มมีร่องรอยความเสียหาย จากนั้นก็จะเริ่มมีการสูญเสียน้ำและมีการยุบตัวลง เกิดการไม่มั่นคงของโครงสร้างเกิดขึ้น กล้ามเนื้อข้างเคียงพยายามพยุงโครงสร้างเหล่านี้ และร่างกายตอบสนองด้วยการสร้างกลุ่มกระดูกงอกเพื่อรองรับโครงสร้างที่ไม่มั่นคงดังกล่าว ผู้ป่วยจะเริ่มปวดเมื่อมีการคลอนของโครงสร้างเกิดขึ้น ถ้าหมอนรองกระดูกที่ยุบและกลุ่มกระดูกที่งอกนี้ไปกดเส้นประสาทข้างเคียงก็จะทำให้เกิดอาการทางระบบประสาท

ทั้งนี้ อาการของโรคกระดูกสันหลังเสื่อมแบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ๆ ก็คือ
1.อาการที่เกี่ยวกับระบบโครงสร้าง ได้แก่ อาการปวดคอ ปวดหลัง มักจะเป็นๆ หายๆ อาจปวดเวลานั่งนานๆ หรือปวดเวลาขยับตัว หากผู้ป่วยที่มีอาการปวดคอก็อาจจะมีอาการปวดร้าวไปที่ท้ายทอย หรือบริเวณไหล่ได้ ผู้ป่วยบางรายที่มีการแข็งตัวของกระดูกสันหลังก็จะเกิดการก้มเงยได้ลำบาก ขยับตัวได้ลำบาก

2.อาการที่เกี่ยวกับระบบประสาท ซึ่งเกิดจากโครงสร้างของกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลัง ได้แก่ การปวดร้าวไปที่แขนหรือขา อาจมีอาการชา หรือการอ่อนแรงร่วมด้วย ซึ่งอาการจะเป็นข้างเดียวหรือเป็นทั้งสองข้างก็ได้ อาการทางระบบประสาทก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของรอยโรคที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยที่มีไขสันหลังถูกกดทับนอกจากอ่อนแรงแล้วก็อาจมีอาการเดินลำบาก การใช้มือหยิบจับของได้ไม่ถนัด หรือมีการกลั้นปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้

นพ.ศรัณย์กล่าวอีกว่า การวินิจฉัยโรคกระดูกสันหลังเสื่อมนั้น หลังจากแพทย์ ซักประวัติอาการปวด ลักษณะการใช้งาน และประวัติอื่นๆ และตรวจร่างกายทั้งการเคลื่อนไหวกระดูกและข้อ และระบบประสาทแล้ว แพทย์จะส่งทำเอกซเรย์กระดูกสันหลังส่วนที่เกี่ยวข้อง หากได้ข้อมูลไม่ชัดเจนจำเป็นต้องทำ MRI เพื่อดูลักษณะของโครงสร้างที่เราสงสัย นอกจากนี้ อาจจำเป็นต้องตรวจการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อด้วยกระแสไฟฟ้า (EMG) ในผู้ป่วยบางราย สำหรับการเจาะเลือดเพื่อดูค่าผลเลือดที่เกี่ยวข้องนั้นจะทำในกรณีที่ต้องการวินิจฉัยแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน

สำหรับการรักษาโรคกระดูกสันหลังเสื่อม
1.การรักษาแบบอนุรักษ์ จะให้ยาลดปวดหรือยาต้านอักเสบ ให้ยาลดปวดเส้นประสาท การทำกายภาพบำบัด เช่น การใช้ความร้อน การดึงหลังหรือคอ และการฉีดยาสเตียรอยด์ เพื่อลดปวดตามข้อบ่งชี้
2.การรักษาโดยการผ่าตัด ซึ่งรูปแบบการผ่าตัดขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยโรคที่ผู้ป่วยเป็น เช่น การผ่าตัดเพื่อยกจุดกดทับ หรือการผ่าตัดเพื่อเสริมความมั่นคง โดยการใส่เหล็กดาม

ส่วนการป้องกันโรคกระดูกสันหลังเสื่อม
1.การใช้งานหลังให้ถูกวิธี เช่น เวลาเรานั่ง เราควรจะต้องตัวตรง หลังชิดกับพนักพิง อาจจะมีหมอนเล็กๆ รองที่บริเวณหลังกับพนักพิง สำหรับเก้าอี้ที่ดีพนักพิงควรจะสูงถึงบริเวณไหล่ ส่วนเรื่องคอ บางครั้งเราก็จะเผลอในการที่จะก้มคอดูโทรศัพท์ หรืออ่านหนังสือ หรือดูจอโน้ตบุ๊ก เราจะต้องคอยรู้ตัวตลอดเวลาว่าคอเราควรจะตั้งตรง ตามองตรง และมองสิ่งที่เราจะมองลงไปประมาณ 15-20 องศา ก็จะช่วยทำให้อาการปวดคอลดลงได้
2.ไม่ควรใช้หลังในท่าเดิมๆ นานเกินไป ควรหยุดพักยืดเส้นยืดสาย เช่น การนั่งเกิน 45 นาที ควรมีเวลาพักเปลี่ยนอิริยาบถประมาณ 10-15 นาที

3.ออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรงและเสริมความยืดหยุ่น เช่น การฝึกเกร็งหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลัง ทั้งในเวลาที่มีการใช้งาน หรือจัดเวลาการออกกำลังกายเสริม ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกลางลำตัว เช่น Planking นอกจากนี้ ก็ยังต้องมีการออกกำลังเพื่อเสริมความยืดหยุ่นให้กับร่างกายด้วย
4.ลดการใช้งานหลังที่ไม่เหมาะสม งดการยกของหนัก หรือกิจกรรมที่มีความเสี่ยง บาดเจ็บที่บริเวณหลัง
5.การควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากเกินเกณฑ์
6.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

นพ.ศรัณย์กล่าวด้วยว่า หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดและขอรับคำปรึกษาได้ที่ ศูนย์กล้ามเนื้อกระดูกและข้อ, ศูนย์ผ่าตัดกระดูกสันหลังและกระดูกคอ โรงพยาบาลนวเวชได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน