ชำแหละข่าวจ้างสส.30ล้านล้มตู่

รายงานพิเศษ

เรียกเสียงฮือฮาไม่น้อยกับกระแสข่าวซื้อตัวส.ส. 5-30 ล้าน เพื่อโหวตล้ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

เป้าหมายการพูดประเด็นนี้คืออะไร และมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนต่อการจ้าง ส.ส.ด้วยตัวเลขสูงขนาดนี้

มีความเห็นจากนักวิชาการที่เกาะติดสถานการณ์การเมือง

วิโรจน์ อาลี คณะรัฐศาสตร์ มธ.

การเปิดประเด็นดีล ส.ส.ล้ม พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงที่พรรคเล็กออกมาเคลื่อนไหวยิ่งทำให้ถูกจับตามอง แต่ที่พรรคเล็กต้องต่อรองเพราะเห็นจากสัญญาณที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ให้พรรคเล็กเข้าพบ ก็อาจสร้างความไม่พอใจ

และท่าทีรัฐบาลในการบริหารจัดการพรรคเล็กที่ผ่านมา แทบไม่ให้คุณค่าหรือบทบาท ให้อยู่นิ่งๆ เลี้ยงดูปูเสื่อรับเงินเดือนกันไป แต่พอใกล้เลือกตั้ง และยิ่งมีสงครามเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนสูตรปาร์ตี้ลิสต์ใช้ 100 หาร พรรคเล็กก็กลับมาไม่ได้ จึงเคลื่อนไหวเพื่อสะท้อนให้เห็นว่ามีอำนาจต่อรองระดับหนึ่ง และสะท้อนไปยังประชาชนให้เห็นว่ายังมีผลงาน พรรคเล็กก็ต้องหาวิธีอยู่ต่อให้ได้

จึงไม่แปลกที่จะหันมาพูดคุยฝ่ายค้าน อย่างที่ นายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ หยิบยกประเด็นอีสวอเตอร์ ขึ้นมา ก็เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง หรืออาจมองว่าในอนาคตหากลมเปลี่ยนทิศ การโหน พล.อ.ประยุทธ์ อย่างเดียวอาจไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาลรอบหน้าก็ได้ ก็ต้องปรับยุทธวิธีเพื่อให้อยู่ในเวทีการเมืองได้ จึงคิดว่าจะออกมาแนวขย่มกันไปอย่างนี้เรื่อยๆ ก่อน

ส่วนตัวเลข 5-30 ล้านดีลส.ส.ล้มนายกฯ มองเจตนานายไตรรงค์ สุวรรณคีรี แค่ปลุกผีเท่านั้น เพราะในสภาวะแบบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่อย่างไร พรรคประชาธิปัตย์จะอยู่แบบไหน สถานการณ์พวกเขาย่ำแย่ จึงต้องทำหน้าที่ปลุกผีฝ่ายค้านหรือปลุกผีทักษิณ เพราะเป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้อยู่ในอำนาจได้ต่อไปได้เรื่อยๆ

ฝ่ายค้านต้องการ 30 เสียงจึงจะล้มรัฐบาลได้ จึงยากมากที่จะใช้เงินจำนวนมากขนาดนี้ และคิดว่าฝ่ายค้านไม่น่าจะมีความสามารถและน้ำหนักมากขนาดนั้น ตัวเลขที่ออกมาสูงเกินไป เหมือนพูดให้เป็นประเด็นการเมืองมากกว่าจะมีมูลความจริง หรือมีหลักฐานที่จะชี้ให้เห็นว่ามีกระบวนการตรงนี้

ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งที่เห็นกลับเกิดมาจากมุ้งและกลุ่มก๊วนในรัฐบาลเอง ดูเหมือนมีคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะให้เปลี่ยนหัว ทำให้มีกระแส พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯรักษาการ หรือนายกฯนอกบัญชี น้ำหนักข่าวดีลล้มนายกฯ จึงเทไปอยู่กับฝ่ายรัฐบาลเองมากกว่า และหากถามเรื่องกระสุนฝ่ายค้านไม่น่าจะมีมากเท่ารัฐบาล

ฟังจากสำเนียงของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เคยบอกว่าเวลาลงพื้นที่ไม่สามารถเอาผลงานที่เป็นนโยบายพรรคไปหากินได้ และเลือกตั้งคราวหน้าการขายพล.อ.ประยุทธ์ อย่างเดียวไม่พอ

จึงเชื่อว่ามีคนกลุ่มหนึ่ง อยากให้ พล.อ.ประวิตร ขึ้นมา และใช้จังหวะนี้ปรับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในกระบวนการและกลไกของตัวเอง โดยไม่อยากให้ฝ่ายค้านเป็นคนล้มนายกฯ เพราะถ้าฝ่านค้านทำสำเร็จอำนาจอาจเปลี่ยนขั้วได้ คนในรัฐบาลที่ไม่ค่อยนิยมชมชอบ พล.อ.ประยุทธ์ เท่าไร อาจคิดว่าถ้าเปลี่ยนก็ได้ก็ขอเปลี่ยนด้วยเงื่อนไขของตัวเอง คือคนกันเองทำกันเอง

ดังนั้น คิดว่าเรื่องดีลล้มนายกฯมีความเป็นไปได้อยู่แล้วในจังหวะนี้ อาจต้องการเปลี่ยนหัว ซึ่งได้ยินเรื่องนี้หนาหูมากขึ้น ทั้งดีลจับมือกับฝ่ายค้าน หรือกับใคร หากมีโอกาสเป็นไปได้ทั้งหมด

และที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าไม่หวั่นไหว เชื่อว่าจริงๆ หวั่นไหว การมีตัวละครออกตัวมาช่วยมากขึ้น และมีประเด็นร้อนใหม่ๆ เช่นอีสวอเตอร์ นายกฯกังวล ยิ่งสถานการณ์ของรัฐบาลที่มาเจอปัญหาน้ำมันซ้ำเข้าอีก ทำให้รัฐบาลค่อนข้างกังวลอยู่ การออกมาปรามอาจทำเป็นใจดีสู้เสือ แต่กังวลและมีการเตรียมความพร้อม

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ คณะมนุษยศาสตร์ มช.

กระแสข่าวซื้อส.ส. 5-30 ล้านบาทนั้น ประเด็นแรกต้องคิดว่าจะมีคนยอมเสียเงินจำนวนนี้เพื่อล้มรัฐบาลนี้หรือไม่ จะคุ้มหรือไม่กับเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาล จึงคิดว่าไม่น่าจะมีการจ้างกันในราคานี้
แต่สิ่งที่สะท้อนมาจากกระแสนี้คือ ความอึดอัด ไม่พอใจ และความขัดแย้งภายในกลุ่มการเมืองและพรรคการเมืองต่างๆ ต่อรัฐบาลมีสูง เชื่อว่าไม่มีการจ้างด้วยเงินจำนวนสูงขนาดนี้ ตัวเลขนี้กับเวลาที่เหลือของรัฐบาลจ้างไปก็ไม่คุ้ม เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ หมดสภาพแล้ว คนอยากให้ไปเสียที

กระแสข่าวที่ออกมาจึงชี้ได้ว่าความขัดแย้งภายในมีสูง และศักยภาพของรัฐบาลที่จะประคับประคองต่อไปนั้นมันลำบาก สุดท้ายแล้วก็อาจเป็นการตีปลาหน้าไซเพื่อไม่ให้คนในรัฐบาลที่รู้สึกอึดอัด รำคาญ จะมาโหวตล้มได้ เพราะถ้าโหวตสวนก็จะถูกมองว่าถูกจ้างมา ข่าวนี้สะท้อนถึงรัฐบาลสุกงอมแล้ว พร้อมจะร่วงหล่นเพราะความหมดสภาพ

ที่นายกฯบอกไม่หวั่นไหวกับกระแสข่าวนี้ แต่ก็สั่งพรรคร่วมรัฐบาลหาข้อมูล ไม่รู้นายกฯสั่งจริงหรือไม่แต่มีการบอกว่าถ้าหากโหวตพลิกจากฝั่งรัฐบาลไปอยู่ฝ่ายค้านก็จะถือเป็นข้อมูลที่จะประณามคนนั้นได้ ถ้าเป็นเช่นนี้นายกฯเองก็จะลอยตัว ถ้าตัวเองถูกโหวตหลุดก็อ้างได้ว่า ไม่ใช่เพราะการทำงาน แต่มีเหตุการณ์ซื้อ ส.ส.โหวตล้ม ฉะนั้นแล้วเรื่องนี้เป็นเพียงเกมการเมืองที่เร่งกันขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

สังคมไม่ต้องไปสนใจข่าวนี้มาก แต่ให้ดูว่าเวลาที่เหลือของรัฐบาลจะทำอะไรให้ดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งมองว่าทำอะไรไม่ได้มากว่าที่เคยทำมาแน่ เพราะที่ทำมาก็แย่พอแล้ว และแทบจะไม่ได้เห็นศักยภาพอะไรเลยของรัฐบาลนี้

ส่วนกระแสข่าวนี้มีมูลหรือไม่นั้น บอกได้ว่ามีฐานอยู่ที่ความไม่พอใจ ความอึดอัด และการไร้ประสิทธิภาพในการทำงานของรัฐบาล ส่วนจะซื้อกันจริงหรือไม่เชื่อว่าไม่น่าจะจริง หรือถ้ามีซื้อจริงก็อาจเป็นการซื้อด้วยข้อสัญญาในอนาคตดีกว่า เพราะถ้าใครยอมขายตัวในราคา 5-30 ล้านบาทอาจหมดอนาคตไปเลยก็เป็นได้ และคงไม่มีนายทุนที่ไหนบ้าเลือดมาทุ่มเงินขนาดนี้ เพราะเชื่อว่าหลายคนมองอยู่แล้วว่ารัฐบาลนี้รออีกหน่อยให้หมดเวลาเองก็ได้

ไม่ทราบว่าคนที่ออกมาพูดต้องการอะไร แต่เรื่องนี้เหมือนมีคนหวั่นวิตกในแง่ว่าฝั่งคนดีจะแพ้ฝั่งคนเลวเลยออกมาพูด หรือนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี อาจหวั่นกลัวการกลับมาของนายทักษิณ หรืออาจเป็นการตีปลาหน้าไซก่อน ฉะนั้นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยคือข้อมูลของกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองมันไม่ตรงไปตรงมา ต้องตระหนักให้ดีว่า ลึกๆลงไปแล้วนั้นมีความกลัว หรือหวั่นวิตกอะไรอยู่

ส่วนการเคลื่อนไหวของพรรคเล็กเพื่อพยายามหาทางรอดให้ได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า อีกประเด็นที่ซ่อนอยู่คือการทำให้แต่ละคนในพรรคเล็กมีราคา เพื่อสามารถต่อท่อกับคนที่มีทรัพยากร ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตามเพื่อให้พรรคเล็กมีทรัพยากรที่จะสู้ศึกคราวหน้าได้ เพราะอย่าลืมว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเล็กจะลำบากมาก

ยุทธพร อิสรชัย รัฐศาสตร์ มสธ.

ข่าวซื้อส.ส. 5-30 ล้าน เพื่อโหวตล้มนายกฯ เป็นกระแสที่เกิดขึ้นประจวบเหมาะกับการเปิดสมัยประชุม 22 พ.ค. อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็เคยมีชื่อของนายกฯสำรอง และนายกฯนอกบัญชี เลยทำให้เรื่องของการซื้อตัว ส.ส.ถูกพูดถึงมากขึ้น

ขณะที่การเปิดสมัยประชุมจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย ทำให้หลายฝ่ายจับตามองในส่วนของพรรคเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะเลขาธิการพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่อดีตเคยอยู่พรรคพลังประชารัฐ เพราะปีที่แล้วมีความพยายามล้มนายกฯในการอภิปรายไม่ไว้วางใจมาแล้ว

ครั้งนี้จึงถูกจับตามองว่า ร.อ.ธรรมนัส จะเคลื่อนไหวอะไรอีกหรือไม่ การล้มนายกฯ จะเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า เลยมีข่าวเรื่องการซื้อตัวส.ส.หรือการดีลลับ ดีลพิเศษออกมาในระยะนี้

ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทยต่างปฏิเสธและให้เหตุผลตัวเลขซื้อ ส.ส.ไม่สอดคล้องอายุรัฐบาลที่เหลืออยู่นั้น เรื่องของตัวเลขมีการปฏิเสธกันมาตลอด ที่ผ่านมาก็ไม่เคยปรากฎเป็นหลักฐานว่ามีการซื้อ ส.ส และคงไม่มีใครมาบอกว่ามีจริงหรือไม่มีจริง

แต่ที่น่าสนใจประการหนึ่งคือเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงปลายวาระของรัฐบาล จึงทำให้ไม่เกิดผลได้-ผลเสียทางการเมืองมากนัก เนื่องจขากมีเงื่อนไข เช่น เรื่องของกฎหมายงบประมาณซึ่งยังไม่ผ่าน ซึ่งทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลก็ต้องการพอๆกัน ฝ่ายค้านเองก็ยังไม่อยากล้มรัฐบาลตอนนี้จนกว่าทางสภาจะผ่านงบประมาณปี 2566 เรียบร้อยแล้ว

ส่วนที่นายกฯ ยืนบันไม่หวั่นไหวกับกระแสข่าวซื้อส.ส.ล้มนายกฯ คิดว่านายกฯ คงมั่นใจว่าจะผ่านไปได้เพราะว่าเคยผ่านเกมล้มนายกมาแล้วครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในสภาวะของรัฐบาลผสมไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครยืนยันได้ว่าเสียงของแต่ละพรรคยังคงอยู่หรือไม่ ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอด จะเห็นว่านายกฯ ก็พยายามกำชับเรื่องการทำกิจกรรมร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล อาทิ การนัดทานข้าวกันเป็นระยะๆ เป็นต้น

เรื่องการใช้เงินซื้อส.ส.นั้น มองว่าเรื่องนี้อาจ 50:50 เพราะไม่มีอะไรเป็นหลักฐานที่จะบอกได้ว่ามีจริงหรือไม่ ขณะเดียวกัน ก็จะปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้ในทางการเมืองมีทุกยุคทุกสมัยเหมือนกัน

ส่วนที่นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ นำเรื่องนี้มาพูดนั้น ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้หลายคนจับตาดูท่าทีของพรรคเล็กจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร แต่ส่วนตัวคิดว่าที่น่าจับตาจริงๆคือ พรรคประชาธิปัตย์ เพราะความขัดแย้งภายในพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่จบ และยังไม่ลงตัว จะกลายเป็นโดมิโนไปสู่การเมืองภาพใหญ่ สามารถกระทบเสถียรภาพกับรัฐบาลได้
ส่วนที่พรรคเล็กเคลื่อนไหวเพราะเป็นโค้งสุดท้ายของพรรคเล็กที่สามารถต่อรองได้ เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้าจะใช้กติกาใหม่ โอกาสที่พรรคเล็กจะหายไปทั้งหมดก็เป็นไปได้ ขณะเดียวกัน บรรดาพรรคเล็กเหล่านี้คงเห็นว่าตรงนี้เป็นช่วงเวลาที่สามารถต่อรองได้ แต่คงไม่ใช่ปัญหาอะไรมากกับรัฐบาล

แม้กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส จะไม่ลงคะแนนให้ หรือพรรคเล็กจะไม่ลงคะแนนให้ ยังมองทางรัฐบาลสามารถผ่านไปได้ ถึงแม้ว่าเสียงจะปริ่มน้ำก็ตาม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน