แสงแห่งสปอตไลต์ทางการเมืองกำลังจับไปยัง นายสกลธี ภัททิยกุล เป็นพิเศษ

ยิ่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาตอกย้ำและยืนยันถึงความจำเป็นที่คนกรุงเทพมหานครต้องเลือกเบอร์ 3 นายสกลธี ภัททิยกุล

ยิ่งต้องเปิดตา เปิดใจให้กว้างมากยิ่งขึ้น

ไม่เพียงเพื่อจะรอคอยว่าคำประกาศของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีบทบาทและทรงความหมายในทางเป็นจริงทางการเมืองอย่างไร

หากแต่ยังอยู่ที่ท่าทีของ นายสกลธี ภัททิยกุล ด้วย

คําประกาศของ นายสกลธี ภัททิยกุล อยู่ที่สามารถทำงานได้ “ทันธี” หากได้รับเลือก

นั่นก็เพราะว่า 1 เขาเคยเป็น ส.ส.กรุงเทพมหานครมาอย่างต่อเนื่อง และ 1 เพราะว่านั่งอยู่ในตำแหน่ง “รองผู้ว่าฯกทม.” เท่ากับทดลองงานมาแล้ว

คำถามจึงอยู่ที่ “บทบาท” และ “ความเป็นจริง”

คำถามยิ่งแหลมคมเมื่อ นายสกลธี ภัททิยกุล ในฐานะรองผู้ว่าฯ กทม.ตัดสินใจลงสนามแข่งกับ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม.

ตกลงระหว่างเบอร์ 3 กับเบอร์ 6 ใครคือ “ตัวจริง”

จะตอบคำถามว่าใครเป็น “ตัวจริง” ได้ต้องเริ่มจากว่าเส้นทางของพวกเขาเป็นอย่างไร

เส้นทางทั้งของ นายสกลธี ภัททิยกุล และ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นเส้นทางที่สัมพันธ์กับพรรคประชาธิปัตย์ เช่นเดียวกับของ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์

เพียงแต่ว่าได้ “ตำแหน่ง”มาอย่างโลดโผนมากกว่า

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.จากอำนาจของมาตรา 44 ขณะที่ นายสกลธี ภัททิยกุล ได้เป็นรองผู้ว่าฯกทม.หลังจากเดินเข้าทำเนียบรัฐบาล

เส้นทางของพวกเขาล้วนโยงสายยาวไป ยัง “คสช.”

การต่อสู้ของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง กับ นายสกลธี ภัททิยกุล จึงแหลมคมยิ่ง

ไม่เพียงแต่จะต้องต่อกรกับผู้สมัครอย่าง นาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และอย่าง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร หากแต่ยังต้องต่อสู้ด้วยกันเอง

เข้าลักษณะต่อสู้ระหว่างยิ้มเห็นแก้ม แย้มเห็นไรฟัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน