ช่วงเปิดตัว ฮอนด้า HR-V ใหม่ ได้มีโอกาสร่วมทริปทดสอบช่วงสั้นๆ ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร (ก.ม.) ถามว่าพอรู้เรื่องไหม กับอารมณ์การขับขี่ และสมรรถนะ ก็เพียงพอน่ะ

แต่ถ้าได้ทดสอบยาวๆ จะสามารถจับสังเกตอาการรถ กับถนนหลากหลายรูปแบบ รวมถึงพิจารณาได้ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะ อัตราสิ้นเปลือง ยิ่งถ้าได้รถทดสอบ ที่ขับกันมา สักระยะหนึ่งแล้ว น่าจะใกล้เคียงความจริงมากที่สุด

ว่าแล้วกริ๊งกร๊างไปหาผู้บริหารสาว ฮอนด้า ออโตโมบิล ‘คุณต้อม’ ศิริพร ศรีสุข ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด ต้องการยืมมาทดสอบสักหน่อย ได้รับคำตอบว่ามีรุ่น RS ซึ่งเป็นตัวท็อปว่างอยู่พอดี ให้เข้าไปรับที่อาคารไบเทค

ฮอนด้า HR-V เจเนอเรชั่นที่ 2 เลือกวาง ขุมกำลังแบบเดียวในทุกรุ่นย่อย คือระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ที่นัยว่าได้ทั้งแรง ได้ทั้งประหยัด

มีเวลาเล็กน้อย พอให้เดินดูรอบคัน ฮอนด้า HR-V e : HEV รุ่น RS ตัวท็อป ดีไซน์ภายนอกสไตล์สปอร์คูเป้ กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ที่เชื่อมต่อกับไฟหน้า

สัญลักษณ์ AMP UP เส้นรูปคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เท่ดี แต่ขนาดเล็กและอยู่ต่ำมากบริเวณด้านล่างกันชน ถ้าไม่ตั้งใจอาจมองผ่านไปแบบไม่รู้ว่ามีอยู่

เส้นสายด้านข้างแนวนอน ลากยาวจากไฟหน้าไปจนถึงไฟท้าย ไฟท้าย LED Light Strip เชื่อมต่อไฟเบรกเป็นเส้นแนวยาวตลอดแนว ตามหลังมารู้ทันทีว่านี่คือ HR-V ใหม่

ฝาท้ายเปิด-ปิดได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเตะเท้าเข้าไปใต้กันชนท้าย 1 วินาที จากการทดลองแล้ว ทำงาน ได้ดี รวดเร็ว ถูกต้อง ไม่ต้องควานหาเหมือนหลายคันที่เคยทดสอบมา

นอกจากนี้ ยังมีระบบปิดเองอัตโนมัติ เมื่อรีโมตออกห่างตัวรถ 1-1.5 เมตร เพียงแต่ต้องกดปุ่มสั่งงานไว้ก่อน

ภายในให้ความรู้สึกหรูหรา ทันสมัย ตามแบบฉบับฮอนด้า พวงมาลัยและเบาะนั่ง หุ้มหนังสีดำ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดงแบบสปอร์ต แป้นเบรกและแป้นคันเร่งสไตล์สปอร์ต

ช่อง USB ด้านหน้า 2 ช่อง สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยแท่นชาร์จแบบ ไร้สาย สำหรับสมาร์ตโฟนที่รองรับ

หลังคากระจกแบบพาโนรามา แบ่งโซนเบาะหน้า และหลัง ด้านหน้ารูดม่านบังแดดปิดได้ปกติ แต่ขัดใจกับเบาะหลัง เพราะเป็นแผ่นประกบ 2 แผ่น ยุ่งยากตอนใส่ และกลายเป็นภาระตอนถอด เพราะต้องหาที่เก็บ ไม่สะดวกเอาเสียเลยจริงๆ

เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร ทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้า ไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ แล้วระบบจะนำพลังงานไฟฟ้าส่งไปมอเตอร์ เพื่อส่งกำลังไปยังล้อ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติไฟฟ้า (E-CVT)

ช่วงความเร็วต่ำ หรือจอดหยุดนิ่ง ใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เมื่อทำความเร็วปานกลาง ยังคงใช้ไฟฟ้า แต่เครื่องยนต์จะปั่นไฟเข้ามาเก็บที่แบตเตอรี่มากขึ้น

แต่หากขับขี่บนความเร็วสูง ระบบจะเปลี่ยนให้ขับเคลื่อน ด้วยเครื่องยนต์ เพื่อไม่ให้มอเตอร์ต้องทำงานหนัก จนเกิดความร้อน อันอาจเป็นอันตรายต่อทั้งระบบ

ก่อนออกเดินทาง ดูหน้าปัดพบว่ารถคันนี้วิ่งไปแล้วร่วม 10,000 ก.ม. ถือว่าตรงเจตนารมณ์ในการทดสอบครั้งนี้อย่างมาก

การจราจรย่านบางนา ใครก็รู้ว่ายังกับจลาจล พลุกพล่านไปด้วยพี่ใหญ่ รถคอนเทนเนอร์ น้องเล็ก มอเตอร์ไซค์ อาศัย รูปร่างสูง กระจกบานใหญ่มองเห็นได้ไกล แต่กะทัดรัดสไตล์รถ SUV โยกซ้ายแซงขวาไปได้อย่างใจ

มอเตอร์ทำงานเงียบสนิท ออกตัวไหลลื่น มีแป้นช่วยชะลอตัวรถ ที่บริเวณหลังพวงมาลัย ตำแหน่งเดียวกับแพดเดิลชิฟ แค่ถอนเท้าตัวรถ จะชะลอลงทันทีมากน้อยตามที่กำหนด ช่วยให้แตะเบรกช้าลง

พร้อมด้วยระบบ BRAKE HOLD เมื่อกดสั่งใช้งาน เบรกจนรถหยุดนิ่งแล้ว ตัวรถจะไม่เคลื่อนไปข้างหน้า แม้ยังอยู่ในตำแหน่ง เกียร์ D พร้อมเดินทางต่อ เหยียบคันเร่งรถเคลื่อนตัวทันที เหมาะกับการใช้งานในเมือง ที่เดี๋ยวเคลื่อนเดี๋ยวหยุดอย่างมาก

ขึ้นทางด่วนเคลื่อนตัวได้ดีขึ้น เสียงเครื่องยนต์ที่กำลังทำหน้าที่ปั่นไฟ ดังแทรกเข้ามาในห้องโดยสารอยู่พอประมาณ จนเมื่อไฟฟ้าในแบตเตอรี่เพียงพอ เครื่องยนต์จึงหยุดทำงาน กลับมาเงียบสนิทเหมือนเดิม

ออกนอกเมือง ขยับทำความเร็ว ตัวรถพุ่งทะยานไปข้างหน้า ไม่มีท่าทีว่าจะหมดให้ได้เห็น 140-150-160 ก.ม.ต่อช.ม. ไต่ไปจนถึงปริ่ม 180 ก.ม.ต่อช.ม.

โหมดการขับขี่มีให้เลือก 3 แบบ นอร์มอล ขับกันไปแบบชิลชิล สปอร์ต ดุดันขึ้นนิดหน่อย และอีคอน ประหยัด ตัวรถหน่วงขึ้นเล็กน้อย เพื่อใช้พลังงานให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

ส่วนใหญ่เลือกใช้โหมดอีคอน เพราะลองแล้ว เพียงพอกับการขับขี่ ไม่ได้อืดเป็นเรือเกลือ และยังทำความเร็วได้อยู่พอประมาณ แต่ได้ความประหยัดมากขึ้น

ช่วงล่างไม่ได้รู้สึกสั่นไหว แม้บนย่านความเร็วสูง จะมีแต่เสียง ลมที่แทรกเข้ามาในห้องโดยสาร หลังผ่านจุดปราบเซียน 120 ก.ม.ต่อช.ม.

ความนุ่มนวลมีมาพอประมาณ ตามสไตล์รถ SUV ขณะที่การเข้าโค้ง ด้วยพวงมาลัยที่คมกริบ ประกอบกับกำลังของระบบไฮบริด ชนิดที่กดเป็นมา เพิ่มความมั่นใจ กระชับฉับไว ไม่มีอาการหน้าดื้อท้ายดิ้นให้ได้เห็น

สัญญาณเตือนน้ำมันดังขึ้น ได้ระยะทาง 667 ก.ม. อัตราสิ้นเปลือง 20.2 ก.ม.ต่อลิตร ส่วนถังที่สอง ขับไป 499.8 ก.ม. เหลือระยะทางวิ่งได้อีก 186 ก.ม. อัตราสิ้นเปลือง 18.4 ก.ม.ต่อลิตร ประหยัดได้ใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ค่าตัวของเจ้า ฮอนด้า HR-V e:HEV RS อยู่ที่ 1.179 ล้านบาท ส่วนรุ่นรอง EL ราคา 1.079 ล้านบาท และรุ่นเริ่มต้น E ราคา 979,000 บาท

กิตติพงศ์ ศรีเจริญ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน