หงส์-ราชันชิงชัยแย่งบัลลังก์เจ้าแห่งยุโรป

ซอคเกอร์

และแล้วก็ถึงวันปิดฉากถ้วยใหญ่ยุโรป ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2021-22 เป็นการชิงชนะเลิศระหว่างลิเวอร์พูล-เรอัล มาดริด หลังจากที่ทั้งคู่ฝ่าฟันด่านต่างๆ จนมาถึงจุดนี้ ทีมไหนจะกระชากถ้วยหูใหญ่ไปครองได้สำเร็จ แฟนบอลต้องรอลุ้นกัน

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2565
ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ

ลิเวอร์พูล – เรอัล มาดริด ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 2021-22 เป็นการพบกันระหว่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จากอังกฤษ ปะทะ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด จากสเปน เตะที่สนามสตาด เดอ ฟรองซ์ เมืองแซงต์-เดอนีส์ ของฝรั่งเศส

เส้นทางที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลเริ่มจากรอบแบ่งกลุ่ม ได้แชมป์กลุ่มบีที่มีคู่แข่งอย่างเอซี มิลาน, ปอร์โต และแอตเลติโก มาดริดลงเตะ 6 นัดชนะรวด กวาดครบ 18 คะแนนเต็ม

โดยลิเวอร์พูลชนะมิลาน 3-2 (เหย้า), ชนะปอร์โต 5-1 (เยือน), ชนะแอตฯ มาดริด 3-2 (เยือน), ชนะแอตฯ มาดริด 2-0 (เหย้า), ชนะปอร์โต 2-0 (เหย้า), ชนะมิลาน 2-1 (เยือน)

จากนั้นรอบ 16 ทีมสุดท้าย ชนะอินเตอร์ มิลานด้วยผลรวม 2-1, รอบก่อนรองชนะเลิศ ชนะเบนฟิกาด้วยผลรวม 6-4 และรอบรองชนะเลิศ ชนะบียาร์เรอัลด้วยผลรวม 5-2

ด้านมาดริดเริ่มจากรอบแบ่งกลุ่ม คว้าแชมป์กลุ่มดีที่มีคู่แข่งอย่างอินเตอร์ มิลาน, เชอริฟฟ์ และชักตาร์ โดเน็ตส์ก ทำผลงานชนะ 5 แพ้ 1 เก็บได้ 15 คะแนน

โดยมาดริดชนะอินเตอร์ 1-0 (เยือน), แพ้เชอริฟฟ์ 1-2 (เหย้า), ชนะชักตาร์ 5-0 (เยือน), ชนะชักตาร์ 2-1 (เหย้า), ชนะ เชอริฟฟ์ 3-0 (เยือน), ชนะอินเตอร์ 2-0 (เหย้า)

จากนั้นรอบ 16 ทีมสุดท้าย ชนะเปแอสเชด้วยผลรวม 3-2, รอบก่อนรองชนะเลิศ เสมอเชลซีด้วยผลรวม 4-4 (หลัง ต่อเวลานัดที่สอง ชนะผลรวม 5-4) และรอบรอง ชนะเลิศ เสมอแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยผลรวม 5-5 (หลังต่อเวลานัดที่สอง ชนะผลรวม 6-5)

คู่นี้เจอกันในถ้วยยุโรปมาแล้วทั้งหมด 8 ครั้ง ลิเวอร์พูลชนะ 3 นัด เสมอกัน 1 นัด มาดริดชนะ 4 นัด หนล่าสุดพบกันในถ้วยนี้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว รอบก่อนรองชนะเลิศ มาดริดเปิดบ้านชนะ 3-1 และเจ๊ากันบ้านลิเวอร์พูล 0-0

ความพร้อมนัดนี้ ลิเวอร์พูลไม่มี ดิว็อก โอริกี (บาดเจ็บ) และต้องเช็กความฟิต ติอาโก อัลคันตารา, ฟาบินโญ, โจ โกเมซ ส่วนมาดริดรอลุ้นความฟิต ดาวิด อลาบา, แกเร็ธ เบล

คาดว่าลิเวอร์พูลคงมาในระบบ 4-3-3 อลิสสัน เบ็กเกอร์ : เทรนต์ อเล็ก ซานเดอร์-อาร์โนลด์, อิบราฮิมา โคนาเต, เฟอร์จิล ฟาน ไดก์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน : จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ, ติอาโก อัลคัน ตารา : โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน, หลุยส์ ดิอาซ

ส่วนมาดริดจะใช้แผน 4-3-3 ธิโบต์ กูร์กตัวส์ : ดานี การ์บาฆัล, เอแดร์ มิลิเตา, นาโช แฟร์นานเดซ, แฟร์กลองด์ เมนดี : ลูกา โมดริช, คาเซมิโร, โทนี โครส : เฟเดริโก บัลเบร์เด, คาริม เบนเซมา, วินิซิอุส จูเนียร์

ความสำเร็จในรายการนี้ลิเวอร์พูลเคยได้แชมป์รายการนี้ 6 สมัยในฤดูกาล 1976-77, 1977-78, 1980-81, 1983-84, 2004-05 และ 2018-19 ผลงานฤดูกาลที่แล้วตกรอบ ก่อนรองฯ

ขณะที่มาดริดแชมป์ 13 สมัย ฤดูกาล 1955-56, 1956-57, 1957-58, 1958-59, 1959-60, 1965-66, 1997-98, 1999-2000, 2001-02, 2013-14, 2015-16, 2016-17, 2017-18 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดด้วย ส่วนฤดูกาลที่แล้วตกรอบรองชนะเลิศ

กุนซือทั้ง 2 ฝั่ง เจอร์เกน คล็อปป์ ของลิเวอร์พูล เข้ามาทำงานกับทีมตั้งแต่ปี 2015 ก่อนจะเปลี่ยนสโมสรแห่งนี้ให้กลายเป็นหนึ่งในทีมที่น่ากลัวสุดของโลกไปแล้ว โดยก่อนหน้านี้พาทัพ “หงส์แดง” สัมผัสทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมเปียนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ

ส่วนฤดูกาลนี้คล็อปป์พลาดโอกาสนำทีมกวาดครบ 4 แชมป์ใหญ่นิดเดียว หลังจากวืดพรีเมียร์ลีกไปเรียบร้อย แต่ก็ยังได้เอฟเอ คัพ และคาราบาว คัพ มาครอบครอง

ทางฝั่ง คาร์โล อันเชล็อตติ ของมาดริด เคยคุมสโมสรนี้มาแล้วรอบหนึ่งในปี 2013-15 ก่อนจะมารับงานอีกรอบเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา โดยรอบแรก อันเชล็อตติเคยนำทีมได้แชมป์รายการนี้เมื่อฤดูกาล 2013-14 บวกกับแชมป์อื่นอย่างโกปา เดล เรย์ 1 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 หน และฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 หน ขณะที่รอบนี้พาทีมคว้าแชมป์ลา ลีกา ได้เรียบร้อยแล้ว

ลิเวอร์พูลยังน่ากลัวเสมอแม้จะชวดกวาด 4 แชมป์แล้ว ขณะที่มาดริดแม้จะมีลูกเก๋า แต่มีจุดอ่อนอยู่พอสมควร วัดกันแล้วเชื่อว่า “หงส์แดง” มีโอกาสยึดบัลลังก์เจ้ายุโรป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน