บริษัทจดทะเบียนไทยรายงานยอดขายไตรมาส 1 ทะลุ 4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.5% เติบโตต่อเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด ส่วน mai กำไรจากการดำเนินงาน 2,498 ล้าน ลดลง 7%

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 764 บริษัท คิดเป็น 97.4% จากทั้งหมด 784 บริษัท (รวม SET และ mai) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2565 สิ้นสุด 31 มี.ค. 2565 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 571 บริษัท คิดเป็น 74.7% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2565 เทียบกับไตรมาส 1/2564 บจ. ใน SET มียอดขาย 4,011,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.5% ต้นทุนการผลิต 3,108,281 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.2%

อย่างไรก็ดี บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 478,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.6% แต่ต้นทุนการผลิตที่ปรับขึ้นมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และธุรกิจประกันภัยที่มีการเคลมประกันโควิด ส่งผลให้กำไรสุทธิ 246,852 ล้านบาท ลดลง 1.7% เนื่องจากมีรายการพิเศษ เช่น ผลขาดทุนสัญญาอนุพันธ์

ทั้งนี้ หากไม่รวมธุรกิจประกันภัย ภาพรวม บจ. จะมีกำไรสุทธิ 275,474 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.1% อย่างไรก็ตาม บจ. มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลักและอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 11.93% และ 6.15% ตามลำดับ ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน

ทั้งนี้ การผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 ของประเทศไทยและต่างประเทศ ส่งผลดีต่อธุรกิจการบริการให้ฟื้นตัว แต่ในอนาคตอันใกล้สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจของ บจ. อาจมีความท้าทายมากขึ้น ทั้งจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อยู่ในระดับสูง ยังมีภาวะเงินเฟ้อ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วย

ด้านนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2565 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) มียอดขายรวม 48,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.4% ต้นทุนขาย 38,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.6% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 23.8% มาอยู่ที่ 20.5% และ ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 2,498 ล้านบาท ลดลง 7.2%

อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.0% เนื่องจากมีการบันทึกกำไรจากการขายโรงไฟฟ้าของ บจ. แห่งหนึ่ง มูลค่ารวม 1,423 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) มียอดขายเพิ่มขึ้น 0.6% มีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 21.6% เป็น 20.5% และมีกำไรจากการดำเนินงานลดลง 10.9%

“สงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ต้นทุนของ บจ. เพิ่มมากขึ้น ทำให้ความสามารถในการทำกำไร ของ บจ. ใน mai เริ่มปรับตัวลดลง” นายประพันธ์กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน