กรณีผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ซึ่งบัดนี้ได้ทำหน้าที่ ผู้บริหารกทม.อย่างเป็นทางการ ตามที่กกต.มีมติรับรองเรียบร้อยแล้ว น่าจะเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ต้องบันทึก เอาไว้ นั่นคือ นอกจากได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นกว่า 1.3 ล้านเสียง สูงสุดในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ
ในระหว่างที่รอขั้นตอนพิจารณาของกกต.นั้น ยังได้เห็นปรากฏการณ์ คลื่นพลังของประชาชน ที่แผ่ความร้อนแรง แสดงความอึดอัดคับข้องใจว่าเหตุใดจึงเอาข้อร้องเรียนที่ไม่ใช่สาระสำคัญของปัญหา มาทำให้การรับรองล่าช้า
เพราะคนกทม. ต้องการให้ผู้ว่าฯ ที่เขาเลือกเข้ามาอย่างถล่มทลาย เข้ามาทำงานแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วที่สุด
แล้วอันที่จริง คลื่นประชาชนที่แผ่รังสีร้อนระอุ ไม่ใช่แค่คนเมืองหลวงเท่านั้น แต่ยังมาจากขอบเขตทั่วประเทศ
เพราะกรณี ชัชชาติ คือความหวังของสังคมไทยโดยรวม
ดังที่เกิดข้อสรุปว่า การเลือกชัชชาติเป็นผู้ว่าฯ เป็นการแสดงถึงความต้องการการเปลี่ยนแปลง และหมายถึงการเปลี่ยนแปลงการเมืองในระดับประเทศด้วย!
ส่วนหนึ่งที่ประชาชนอยากเห็นชัชชาติได้ทำงานอย่างเป็นทางการอย่างรวดเร็วที่สุดนั้น
เพราะเชื่อว่า จะสร้างปรากฏการณ์การเป็นผู้นำการบริหารที่ทำงานรวดเร็วจริงจัง ติดดิน มีวิสัยทัศน์ และอ่อนน้อมถ่อมตน เพื่อเปิดหูเปิดตา
จะเป็นข้อเปรียบเทียบกับผู้นำบริหารในระดับอื่น ที่ไม่มีวิสัยทัศน์ แต่ใช้อำนาจ เกรี้ยวกราด ลงเอยไม่มีประสิทธิภาพใดๆ อีกด้วย!?!
ที่สำคัญนี่คือ ผู้ที่ประชาชนเลือกเข้ามาจริงๆ
ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ต้องให้ประชาชนตัดสินใจ อย่างแท้จริงเช่นนี้ ไม่ใช่มี 250 ส.ว.มาตัดสินแทนประชาชน!
จากนี้ไป เราจะได้เห็นการทำงานแบบแข็งแกร่งที่สุด ในปฐพี เพื่อแก้ไขปัญหาสารพัดในเมืองหลวง
แม้ว่าจะเชื่อมั่นกันมากว่า ทำได้แน่นอน แต่ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะสำเร็จขนาดไหน
ถ้าทำไม่สำเร็จ ประชาชนก็จะสรุปบทเรียนได้ และตัดสินใจได้ใหม่ในการเลือกตั้งหนต่อไป
ประชาธิปไตย ที่เสียงประชาชนคือผู้กำหนด เป็นเช่นนี้
ไม่ใช่ว่า ผู้นำที่ประชาชนไม่ได้เลือก แต่ 250 ส.ว.เป็นผู้กำหนดให้เป็น
จะบริหารจนเศรษฐกิจตกต่ำขนาดไหน วันนี้น้ำมันก็แพงไม่สิ้นสุด ข้าวของทุกอย่างแพงขึ้นไปเรื่อย
แต่ก็ยังอยู่ต่อไปได้ เพราะอำนาจนอกระบบหนุนหลัง ขุนศึกขุนนางยังเอาด้วย
ภายในสภาก็หลับหูหลับตาโหวตสนับสนุนกันต่อไป!?
ที่กำลังจะโหวตร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ถ้าคิดถึงประชาชน เป็นที่ตั้ง
ควรโหวตเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า!
วงค์ ตาวัน