ประเทศไทยเข้าสู่วิกฤตราคาพลังงานอย่างหนักมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ กบน. มีมติปรับราคาดีเซลขึ้นอีก 1 บาทต่อลิตร จาก 33.94 บาทเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไปอยู่ที่ 34.94 บาท ชนกรอบเพดาน มีผลตั้งแต่ 14 มิถุนายน เป็นต้นไป
ขณะที่สถานะกองทุน ณ วันที่ 12 มิถุนายน ติดลบ 91,089 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมัน 54,574 ล้านบาท บัญชีก๊าซหุงต้มแอลพีจี ติดลบ 36,515 ล้านบาท
หนักไปกว่านั้น ผู้บริหาร กบน.กล่าวยอมรับว่า เบื้องต้นมีความเป็นไปได้ที่ กบน.อาจต้องปรับเพดานการตรึงราคาใหม่เป็น 38 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันกำหนดไว้ไม่เกิน 35 บาท
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก สภาพคล่องกองทุน และความคืบหน้าเรื่องเงินกู้จากสถาบันการเงินจะมีเข้ามาเติมในระบบเร็วแค่ไหน
ผลพวงราคาดีเซลปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผล กระทบรุนแรงต่อปากท้องของประชาชน เงินเฟ้อพุ่ง สินค้าแพง ยังกระทบต่อภาคขนส่ง และการเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง
นายพิเชษฐ์ เจียมบุรเศรษฐ์ นายกสมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทย กล่าวขอโทษประชาชน ผู้ใช้บริการ เนื่องจากผู้ประกอบการไม่มีทางออกในการแบกรับต้นทุนจากภาวะน้ำมันแพง
ทำให้ต้องลดเที่ยววิ่งและทยอยหยุดให้บริการในบางเส้นทาง ซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายก่อนอาจต้องปิดกิจการถาวรในที่สุด
มีการระบุว่า ดีเซลลิตรละ 34 บาท ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้นถึงวันละ 70,000 บาท ไม่รวมต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ อาทิ ค่าแรงงาน ค่าอะไหล่ ค่าประกันที่ปรับสูงขึ้นเช่นกัน
ลิตรละ 35 บาท คิดดูว่าจะยิ่งสาหัสเพียงใด
ค่าโดยสารรถประจำทางนับเป็นสินค้าและบริการประเภทเดียวที่ถูกกำหนดโดยรัฐ ในการปรับราคาขึ้นและลงโดยอ้างอิงจากโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซล
ในช่วง 2-3 ปีหลัง ตั้งแต่ประสบกับวิกฤตโควิด-19 มีการล็อกดาวน์เป็นระยะ ห้ามประชาชนเดินทางข้ามจังหวัด ทำให้ผู้โดยสารน้อย ประกอบกับน้ำมันแพง วิ่งรถไม่คุ้มค่าโดยสาร ขอปรับราคาก็ไม่ได้ จะไม่วิ่งก็ไม่ได้เพราะรัฐบาลขอความร่วมมือ
ผู้ประกอบการก็ยอมกัดฟันมาตลอด แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง หากรัฐบาลไม่เหลียวแลแก้ปัญหา ผู้ประกอบการ รถโดยสาร ช่องทางการเดินทางที่ประหยัดและสะดวกที่สุดของประชาชน คงไปต่อลำบาก อาจต้องปิดกิจการในที่สุด
เมื่อนั้นปลายทางความเดือดร้อนก็จะมาหยุดจอดอยู่ที่ประชาชนโดยไม่มี ทางเลี่ยง ซึ่งรัฐบาลไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเช่นนี้
