กองทุนถึงทางตันอุ้มน้ำมัน
ระทึก 3 เดือนเข้าฤดูหนาวต่างประเทศ

รายงานพิเศษ

พุ่งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ ก็เห็นจะเป็นราคาน้ำมันที่ร้อนแรงผันผวนเกินความคาดหมาย ฉุดรั้งประเทศไทยเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง

นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากความต้องการใช้น้ำมันสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มผ่อนคลาย จากเดือนส.ค.2564 ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และเดือนต.ค.2564 อยู่ที่ 82-83 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ 10 มิ.ย. 2565 ราคาน้ำมันตลาดเบรนต์อยู่ที่ 123.07 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตลาดเวสเท็กซัสอยู่ที่ 121.51 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตลาดดูไบอยู่ที่ 118.84 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

หักปากกาเซียนพยากรณ์ราคาน้ำมันเมื่อช่วงต้นปีว่า ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปีนี้จะอยู่ในกรอบ 71-76 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ไม่พูดถึงราคาน้ำมันสำเร็จรูปอย่างดีเซลหมุนเร็ว ประเทศสิงคโปร์ขณะนี้ก็คงไม่ได้ เพราะพุ่งสูงขึ้นไปถึง 172.95 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากภาพรวมความต้องการใช้น้ำมันที่มี แนวโน้มฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง จากตลาดแรงงานสหรัฐที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในเดือนพ.ค. จีนที่เริ่มทยอยคลายมาตรการล็อกดาวน์ในเมืองเซี่ยงไฮ้และกรุงปักกิ่ง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ของจีนคาดว่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

กอปรกับสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน มีแนวโน้มยืดเยื้อ ไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ง่าย การกลั่นน้ำมันที่จะมาทดแทนน้ำมันของประเทศรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตร เพื่อลดความร้อนแรงของราคาน้ำมันก็ไม่น่าจะได้ผลมากนัก เนื่องจากการผลิต น้ำมันดิบทั่วโลกเพิ่มขึ้นช้ามาก

จนถึงปัจจุบันภาพรวมราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น ต่อเนื่อง ส่งผลให้การดำเนินนโยบายตรึงราคาขายปลีกดีเซลในประเทศไว้ไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร จึงต้องเปลี่ยนแปลงไป

กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ลำพังเคยอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ให้คงอยู่ที่ 318 บาท/ถัง 15 กิโลกรัม (ก.ก.) เพื่อช่วยบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค.2563 เริ่มออกอาการ

จนมาถึง ณ วันที่ 17 ต.ค. 2564 บัญชีแอลพีจีติดลบ 18,326 ล้านบาท ขณะที่บัญชีน้ำมันมีเงินคงเหลือ 27,533 ล้านบาท ฐานะกองทุนมีเงินคงเหลือสุทธิ 9,207 ล้านบาท ต่ำกว่าหมื่นล้านบาทในช่วงก่อนหน้า

3 พ.ย. 2564 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) จัดทำหลักเกณฑ์การกู้เงินตามกรอบของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กองทุนน้ำมันฯ ไม่เกิน 20,000 ล้านบาท จากสถาบันการเงิน

1 ธ.ค. 2564 ลดสัดส่วนผสมไบโอดีเซล (หรือ B100) ในน้ำมันดีเซล 10% หรือ B10 เหลือ 7% เป็น B7 และลดลงเหลือ 5% เป็น B5 ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.2565 จนถึงปัจจุบัน

ณ 16 ธ.ค. 2564 กองทุนเริ่มมีสถานะติดลบครั้งแรก 1,633 ล้านบาท เป็นบัญชีแอลพีจีติดลบ 21,831 ล้านบาท ขณะที่บัญชีน้ำมันยังเป็นบวก 20,198 ล้านบาท

15 ก.พ. 2565 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 และแผนยุทธศาสตร์กองทุนและให้ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง 3 บาท/ลิตร นาน 3 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ.-20 พ.ค.2565

ณ 13 มี.ค. 2565 กองทุนติดลบ 29,336 ล้านบาท เป็นการติดลบทั้งสองบัญชี โดยบัญชีน้ำมันติดลบครั้งแรก 1,243 ล้านบาท และบัญชีแอลพีจีติดลบ 28,093 ล้านบาท

15 มี.ค. 2565 ครม.ปลดล็อกวงเงินบริหารกองทุนฯ รวมวงเงินกู้ต้องไม่เกิน 40,000 ล้านบาท จากเดิมระบุการบริหารจัดการกองทุนต้องมีจำนวนเงินเพียงพอ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนฯ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินกู้จากสถาบันการเงินแล้วต้องไม่เกิน 40,000 ล้านบาท

17 มี.ค. 2565 กบง.มีมติเห็นชอบให้ทยอยปรับขึ้นราคา แอล พีจี 3 ครั้ง ในอัตรา 1 บาท/ก.ก. ส่งผลให้แอลพีจีขายปลีกขนาดถัง 15 ก.ก.ขึ้นไปอยู่ที่ 333 บาท จาก 318 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2565 โดยทยอยปรับขึ้นเป็น 348 บาท ในเดือนพ.ค., เป็น 363 บาท ในเดือนมิ.ย. และเป็น 378 บาท/ถัง 15 ก.ก.วันที่ 1 ก.ค.นี้

วันที่ 30 เม.ย. 2565 สิ้นสุดตำนานการตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาท/ลิตร

ดีเดย์ 1 พ.ค. 2565 ปรับราคาขายปลีกดีเซล 32 บาท/ลิตรครั้งแรกในรอบ 14 ปี โดยกำหนดเพดานการตรึงราคาใหม่ ไม่เกิน 35 บาท/ลิตร ซึ่งรัฐยังคงช่วยเหลือส่วนที่ราคาขึ้นครึ่งหนึ่งตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2565 และให้ กบน. ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกประกอบการทบทวนพิจารณาราคาดีเซลทุกสัปดาห์

17 พ.ค. 2565 ครม.มีมติเห็นชอบลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพิ่มเติมเป็น 5 บาท/ลิตร ต่อไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค.-20 ก.ค.2565

30 พ.ค. 2565 กบน. ปรับขึ้นราคาดีเซล 1 บาท/ลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกดีเซลปรับขึ้นจาก 31.94 บาท/ลิตร เป็น 32.94 บาท/ลิตร มีผลวันที่ 31 พ.ค. 2565

6 มิ.ย. 2565 กบน.ปรับขึ้นดีเซลอีกลิตรละ 1 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกดีเซลอยู่ที่ 33.94 บาท/ลิตร และให้ลดการจัดเก็บเงินนำส่งเข้ากองทุนในส่วนของแก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 ลงลิตรละ 0.93 บาท/ลิตร จากเดิมจัดเก็บ 1.02 บาท/ลิตร เหลือส่งเงินเข้ากองทุน 0.09 บาท/ลิตร E20 ปรับลดการจัดเก็บลง 0.94 บาท/ลิตร จากเดิมจัดเก็บ 0.12 บาท/ลิตร ส่งผลให้กองทุนต้องชดเชยเงินให้กับ E20 ที่ 0.82 บาท/ลิตร เพื่อทำให้ราคาขายปลีกเบนซินลดลง

13 มิ.ย. 2565 กบน.ปรับราคาดีเซลขึ้นอีก 1 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ 34.94 บาท/ลิตร ชนเพดานการตรึงราคา ไม่เกิน 35 บาท/ลิตร

ปัจจุบัน ณ 12 มิ.ย. 2565 กองทุนติดลบ 91,089 ล้านบาท เป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 54,574 ล้านบาท และบัญชีแอลพีจีติดลบ 36,515 ล้านบาท

เรียกว่ารัฐบาลดำเนินมาตรการดูแลค่าครองชีพด้านพลังงานให้กับประชาชนจนหมดหน้าตัก และยังคงเดินหน้าต่อไป ซึ่งเป็นที่คาดการณ์ได้ว่าสิ้นเดือนมิ.ย.นี้ กองทุนจะมีสถานะติดลบแสนล้านบาท โดยที่รัฐบาลก็ไม่มีเงินเข้ามาอุดหนุนเพิ่มเติม

‘ถังแตก!’ จะแบกกองทุนไปขอเงินกู้ ก็ไม่มีสถาบันการเงินรายใดยื่นเสนอหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้กองทุน กู้เงินสักราย

ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ต้องเรียกถกทีมเศรษฐกิจเป็นการด่วนเมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา

หวยออกที่โรงกลั่นน้ำมัน 6 แห่ง ต้องรับหน้าที่อุ้มกองทุน น้ำมันฯ

โดย นายกุลิศ สมบัติสิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ระบุว่า ที่ประชุมได้ขอความร่วมมือจากกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันทั้ง 6 โรง

ได้แก่ TOP, IRPC, PTTGC, BCG, ESSO, SPRC นำส่งกำไรส่วนหนึ่งที่เกิดจากการกลั่นน้ำมันส่วนเกินเข้ากองทุนชั่วคราว 3 เดือน ตั้งแต่เดือนก.ค.-ก.ย. 2565

เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้กองทุนใช้เป็นเงินหมุนเวียน ในการอุดหนุนราคาขายปลีกดีเซล 5,000-6,000 ล้านบาท/เดือน น้ำมันเบนซิน 1,000 ล้านบาท/เดือน รวมทั้งจะขอความร่วมมือจากโรงแยกก๊าซที่มีกำไรจากส่วนเกินส่วนหนึ่งมา 50% เข้ากองทุนเช่นเดียวกัน ประมาณ 1,500 ล้านบาท/เดือน

โดยในส่วนของดีเซลไม่ได้นำเงินไปเป็นส่วนลดราคาขายปลีกดีเซลในประเทศลงให้ประชาชนทันที แต่เป็นการเติมเงินเพื่อซื้อเวลาให้กองทุนฯ สามารถยืนเพดานการตรึงไว้ที่ 35 บาท/ลิตรได้นานขึ้น ส่วนเบนซินคาดว่าจะนำมาเป็นส่วนลดราคาให้ผู้ใช้ได้ประมาณ 1 บาท/ลิตร

ต่อลมหายใจมาตรการดูแลค่าครองชีพด้านราคาพลังงาน ให้กับประชาชนทั้งดีเซล เบนซิน ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ได้อีก 3 เดือน

แต่เมื่อมาตรการสิ้นสุดลงในเดือนก.ย. 2565 จะเป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวในต่างประเทศ ปัจจัยเร่งความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นก็เวียนมาอีกครั้ง ประกอบกับภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่คาดว่าจะยืดเยื้อทั้งปี ถึงจุดนี้ไม่มีความหวัง ที่ราคาน้ำมันจะลดลงได้เลย

ยิ่งหากการเมืองในประเทศไทยเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการ ยุบสภา เตรียมเลือกตั้งใหม่ ก็คงถึงเวลาตัวใครตัวมัน…เพราะใครจะอยู่ใครจะไป ต้องรับหนี้ก้อนใหญ่ 1 แสนล้านบาท ของกองทุน

ที่รัฐบาลนี้ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน