เทคนิคทางการตลาดด้วยการนำชิพประสิทธิภาพสูงมาใส่ไว้ในสินค้าระดับตลาดเอ็นทรี่นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับแอปเปิ้ล ผู้พัฒนาแท็บเล็ตชื่อดังตระกูล iPad จากประเทศสหรัฐอเมริกา

iPad Air รุ่นที่ 5 เปิดตัวไปเมื่อ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา สะท้อนว่าแอปเปิ้ลจะยังคงเดินหน้าใช้เทคนิคการตลาดนี้ต่อไป โดยให้ iPad Air รุ่นอัพเดตใหม่มาต่อยอดความต้องการผู้บริโภคแทนรุ่นก่อนด้วยชิพ M1 แทนที่จะเป็นชิพ M2 ซึ่งคาดว่าต้องถูกนำไปใช้ในแท็บเล็ตรุ่นพรีเมียมอย่าง iPad Pro (2022) น่าจะเปิดตัวภายในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

เว็บไซต์แอนดรอยด์อูธอริตี ระบุ iPad Air 5 เข้าทดแทนรุ่นเก่าที่มีอายุนับจากเปิดตัวมาได้ราว 17 เดือน โดยลักษณะภายนอกระหว่าง iPad Air รุ่นเก่าและใหม่นั้นหากนำมาวางเทียบกันแทบจะแยกกันไม่ออก แต่หากใครเป็นสาวกแอปเปิ้ลมานานจะพบความแตกต่างระหว่างทั้งสองรุ่นแอบซ่อนอยู่ในรายละเอียด

ความแตกต่างประการแรก น้ำหนักของเครื่อง iPad Air 5 ที่หนักขึ้นเล็กน้อย (ประมาณ 1-2 กรัม) คือ 461 กรัม (Wi-Fi) และ 462 กรัม (5G) รวมทั้งสีตัวเครื่องที่มีให้เลือกไม่เหมือนกัน โดยมีทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีเทาสเปซเกรย์ (Space Gray) สีชมพู (Pink) สีม่วง (Purple) สีฟ้า (Blue) และสีขาวสตาร์ไลต์ (Starlight)

นอกเหนือไปจากนี้แล้วเหมือนกับ iPad Air 4 ทุกประการ ไม่ว่าขนาดความกว้าง 178.5 ยาว 247.6 หนา 6.1 มิลลิเมตร

วัสดุพื้นหลังและขอบเป็นอะลูมิเนียม พร้อมกระจกต่อต้านรอยขีดข่วนและกันน้ำเกาะ ตำแหน่งปุ่ม ลำโพง และกล้องถ่ายภาพด้านหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (MP) รวมถึงการรองรับสไตลัสอย่าง Apple Pencil (2nd Generation) ตลอดจนอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น Magic Keyboard เป็นต้น

ไฮไลต์สำคัญของความแตกต่างที่สุดใน iPad Air 5 อยู่ที่ภายใน ได้แก่ ชิพวงจรรวม (SoC) รุ่น M1 และความสามารถในการรองรับเทคโนโลยีการสื่อสารยุคที่ห้าหรือ 5G หมายความว่า iPad Air 5 ของปีนี้ จะมาพร้อมประสิทธิภาพที่เทียบเคียงได้กับ iPad Pro 5 และ MacBook ของปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังเพิ่มขนาดหน่วยความจำแรม (RAM) เป็น 8 กิกะไบต์ (GB) และปรับปรุงกล้องเซลฟี่มาให้ดียิ่งกว่าเดิม

การปรับปรุงมาใหม่ของ iPad Air 5 ยังส่งผลให้ราคาค่าตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยสำหรับเวอร์ชั่นรองรับสัญญาณ 5G เริ่มต้น อยู่ที่ 25,900 บาท แต่หากเป็นรุ่นรองรับเฉพาะ Wi-Fi จะมีราคาเท่ากันกับ iPad Air 4 สนนราคาที่ 20,900 บาท

โอลิเวอร์ เคร็กก์ ผู้รีวิวจากแอนดรอยด์อูธอริตีระบุว่า แม้ไม่ใช่ทุกครั้งที่การเล่นเทคนิค “ขวดเก่า เหล้าใหม่” ของแอปเปิ้ลจะทำให้สินค้าโดยรวมดีขึ้น แต่เป็นที่น่ายินดีเพราะรอบนี้ iPad Air 5 มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจริง เนื่องจากทางแอปเปิ้ลเก็บสิ่งที่ยอดเยี่ยมต่างๆ ของ iPad Air 4 เอาไว้ทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพการประกอบ วัสดุอะลูมิเนียมที่มาจากการรีไซเคิล หน้าจอขนาด 10.9 นิ้ว ความละเอียด 1,640 x 2,360 พิกเซล ความหนาแน่นพิกเซล 264 พิกเซลต่อตารางนิ้ว (PPI) มีสัดส่วนร้อยละ 81.3 ของตัวเครื่อง ทำให้มีขอบคางไม่หนามากนัก ส่งผลดีต่อการหยิบจับได้เหมาะมือไม่กินเนื้อที่เข้าไปในจอภาพ

รวมถึง Touch ID ที่บิลด์-อินอยู่ในปุ่มเปิดปิด ถึงการเปิดเครื่องแบบ 2 ขั้นตอนของแอปเปิ้ล (แตะสแกนนิ้วแล้วกด) จะไม่ค่อยไวทันใจนัก แต่เซ็นเซอร์มีความแม่นยำและต่อเนื่อง

iPad Air 5 มีพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB-C ถึงจะฟังดูเป็นเรื่องปกติสำหรับสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตทั่วไปในปัจจุบัน แต่ถือเป็นสิ่งพิเศษสำหรับค่ายที่เคยดื้อดึงใช้พอร์ตเชื่อมต่อ Lightning มานานอย่างแอปเปิ้ล โดย USB-C 3.1 ตัวนี้เป็น Gen 2 ทำให้อัตราการส่งข้อมูลสูงสุดได้ถึง 10 กิกะบิตต่อวินาที (Gb/s) จากเดิม 5 Gb/s นอกจากนี้ ยังทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อ iPad Air 5 เข้ากับจอภาพของแอปเปิ้ลอย่าง Studio Display Monitor ได้ด้วย ไม่เหมือนกับ iPad Air รุ่นก่อนๆ

ถัดมาเป็นกล้องเซลฟี่ความละเอียด 12 MP แบบอัลตราวายด์ ที่ทางแอปเปิ้ลปรับปรุงมาทั้งการเพิ่มความละเอียดเซ็นเซอร์และองศาภาพกว้างเป็น 122 องศา รองรับระบบ HDR และคลิปความละเอียดสูงสุด Full-HD ทั้ง 30 และ 60 เฟรมต่อวินาที (1080p@30/60fps) กล่าวคือ เป็นกล้องจาก iPad 5 Pro นั่นเอง

ประสิทธิภาพการถ่ายภาพที่ออกมานับว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่ว่าความแม่นยำของสี รายละเอียด แสงเงา พร้อมโหมดใหม่อย่าง Center Stage ที่โฟกัสจะติดตามใบหน้าของผู้คนที่อยู่ในเลนส์ผ่านการใช้เทคนิคซูมและขยายภาพ สามารถใช้ได้กับแอพพลิเคชั่นอย่าง FaceTime, Zoom และ Google Meet ด้วย

มาถึงขุมพลังอย่างชิพ M1 ที่แอปเปิ้ลใส่มาใน iPad Air 5 พบว่าเป็นชิพ M1 แบบเต็มรูปแบบไม่มีการตัดทอนใดๆ ภายในประกอบด้วยหน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู และหน่วยประมวลผลกราฟิกหรือจีพียูแบบ 8 คอร์ทั้งคู่ ทำให้ iPad Air 5 เป็นแท็บเล็ตที่ทรงพลังที่สุดในช่วงราคาข้างต้น

การทดสอบพบว่า iPad Air 5 รองรับการใช้งานได้ครอบคลุมทุกรูปแบบ รวมถึงการเล่นเกมระดับ AAA ที่ต้องใช้พลังขับเคลื่อนกราฟิกสูงอย่าง Genshin Impact จากค่าย Hoyoverse (miHoYo เดิมจากประเทศจีน) อยู่ประมาณ 50 ถึง 55 fps (ตั้งค่ากราฟิกสูงสุด)

ขณะที่การทดสอบผ่านแอพพลิเคชั่นเบนช์มาร์กอย่าง Geekbench 5 เผยให้เห็นว่า M1 ห่างชั้นกับชิพ Snapdragon 8 Gen 1 ตัวจี๊ดของฝั่งแอนดรอยด์ขนาดไหน ด้วยคะแนนประมวลผลคอร์เดียว 1,710 แต้ม และหลายคอร์ 7,280 แต้ม (คะแนน Snapdragon 8 Gen 1 อยู่ที่ประมาณ 1,232 และ 3,633 แต้มตามลำดับ) เช่นเดียวกันกับคะแนนเบนช์มาร์กกราฟิกผ่านแอพ 3DMark: Wild Life Extreme ออกมาอยู่ที่ 4,510 แต้ม (Snapdragon 8 Gen 1 อยู่ที่ประมาณ 2,598 แต้ม)

นอกจากนี้ RAM ที่ทางแอปเปิ้ลเพิ่มมาเป็น 8GB ยังช่วยให้ iPad Air 5 สามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหลนานต่อไปอีกหลายปี โดยแอปเปิ้ลสนับสนุนการอัพเกรดระบบปฏิบัติการในผลิตภัณฑ์ยาวนาน 5 ปี

ความดีงามของชิพ M1 ไม่หมดเท่านั้น ยังมีประสิทธิภาพด้านประหยัดพลังงานเป็นเลิศ สามารถใช้งานได้นานประมาณ 10 ชั่วโมง รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วสูงสุด 30 วัตต์ (W) แต่ชาร์จเจอร์ที่แถมมานั้นขนาด 20 W

iPad Air 5 ใช้ระบบปฏิบัติการ iPadOS ซึ่งเป็นโอเอสลูกผสมระหว่าง iOS (สำหรับ iPhone) และ macOS (สำหรับ MacBook) แน่นอนถูกออกแบบมาให้ตอบสนองและเข้ากันได้อย่างยอดเยี่ยมกับชิพ M1 ไร้ปัญหาสะดุดกวนใจ

เคร็กก์ระบุถึงจุดอ่อนของ iPad Air 5 ว่าเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลภายในเริ่มต้นที่ 64 กิกะไบต์ (GB) เพราะความจุระดับนี้ไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปในปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว (แค่โอเอสก็กินไป 10 GB แล้ว) แน่นอนว่าถ้าใช้ iCloud เข้ามาเสริมก็สามารถจะถูไถไปได้ มองว่าควรมีความจุข้อมูลขั้นต่ำ 128 GB ขึ้นไปจะดีกว่า

ผู้ทดสอบมองว่าอาจเป็นกลยุทธ์การตลาดของแอปเปิ้ลที่ต้องการให้ผู้ใช้หันไปซื้อเวอร์ชั่นความจุ 256 GB มากกว่า แต่ปัญหาคือราคา 25,900 บาท (แบบ 5G อยู่ที่ 30,900 บาท) ราคาห่างจาก iPad Pro ราว 1 ถึง 2 พันบาทเท่านั้นเอง

นอกเหนือไปจากนี้ ข้อด้อยของ iPad 4 ก็ยังเป็นเงาตามติดตัว iPad Air 5 มาด้วย เช่น การไม่มีหน้าจอ ProMotion คือ จอภาพที่รองรับความถี่สูง โดย iPad Air 5 รองรับเพียง 60 เฮิร์ตซ์ (Hz) ขณะที่แท็บเล็ตรุ่นอื่นในช่วงราคานี้ไปกันถึง 90 Hz

แอนดรอยด์อูธอริตีมองว่า iPad Air 5 มีข้อเสียที่ความจุข้อมูลเริ่มต้นน้อยเกินไป จอภาพที่รองรับความถี่สูงสุดเพียง 60 Hz ไม่ทันคู่แข่ง และอุปกรณ์เสริมราคาแพง

ทว่าชดเชยด้วยรูปโฉมที่แลดูทันสมัย จอภาพที่มีสีสันสวยงามคมชัด ระยะเวลาใช้งานจากแบตเตอรี่ที่ยาวนาน ระบบปฏิบัติการและแอพพลิเคชั่นที่สมบูรณ์แบบ ประกอบกับชิพ M1 ทำให้ iPad Air 5 เป็นแท็บเล็ตที่ทรงพลังที่สุดแล้วในช่วงราคา 2 หมื่นบาท วางจำหน่ายแล้วในประเทศไทย

ทีมข่าวสดไอที
ภาพ – แอปเปิ้ล/แอนดรอยด์อูธอริตี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน