คนเป็นพ่อเป็นแม่นั้นทำมาหากินสะสมเงินทอง ทรัพย์สินมีค่าเอาไว้ ร้อยทั้งร้อย ก็หวังรอส่งมอบให้กับบรรดาลูกๆ หลานๆ เป็นทุนรอนในการดำเนินชีวิตเมื่อถึงเวลาอันสมควร แต่นายเอกชัย สุนทรากุลรักษา ในวัย 72 ปี ต้องใจสลาย เมื่อลูกชายคนเล็กใจร้อนต้องการได้ทรัพย์สินก่อนเวลาอันควรถึงกลับยอมได้ชื่อว่าลูกทรพี

เรื่องราวชวนเศร้าใจถูกเปิดเผยขึ้น เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ สภ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ภายหลัง พ.ต.อ.ประเวศ ศรีนาค ผกก.สภ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมกำลังชุดสืบสวน จับกุมตัว นายพงษ์พิพัฒน์ สุนทรากุลรักษา อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาทำร้ายร่างกายบุพการีและลักทรัพย์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2565 ที่ผ่านมา

ค้นห้องหาหลักฐาน

ที่ไปที่มาของคดีดังกล่าว ต้องย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา นายพงษ์พินิจ สุนทรากุลรักษา อายุ 41 ปี ที่พักอยู่ที่กรุงเทพฯ รับแจ้งจากคนดูแลนายเอกชัย สุนทรากุลรักษา อายุ 72 ปี ผู้เป็นบิดา ที่พักอยู่ที่บ้านเลขที่ 80 หมู่ 2 ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เพียงลำพัง ประสบอุบัติเหตุล้มหัวฟาดพื้น จึงนำส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชธานี จากนั้นทางครอบครัว ได้ย้ายนายเอกชัยไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลธนบุรี

รักษาตัวอยู่นานเกือบ 1 เดือน จนเริ่มมีอาการดีขึ้น เจ้าตัว จึงขอให้พากลับมาที่บ้าน เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน แต่พอกลับ มาบ้านพบว่ากุญแจบ้านถูกเปลี่ยน หลังจากเข้าบ้านได้พบว่ากุญแจตู้เซฟที่ตั้งอยู่บนชั้น 2 หายไป เลยตามช่างมาเปิดจนพบว่าทรัพย์สินเป็นอาวุธปืนขนาดต่างๆ จำนวน 12 กระบอก ทองรูปพรรณ 200 บาท นาฬิกาโรเล็กซ์ 9 เรือน นาฬิกาโอเมก้า 3 เรือน โฉนดที่ดิน พินัยกรรม รวมมูลค่าทรัพย์สินที่หายไป 12 ล้านบาท สูญหายไป จึงมาแจ้งความ เพื่อติดตามหาตัวคนร้าย

นายพงษ์พิพัฒน์ สุนทรากุลรักษา อายุ 33 ปี ถูกคุมตัว

หลังรับแจ้งความ พ.ต.อ.ประเวศนำทีมชุดสืบสวนเข้าตรวจสอบร่องรอยในบ้านที่เกิดเหตุ แต่กลับพบความผิดปกติ เนื่องจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจที่เกิดเหตุอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบร่องรอยคนร้ายที่เข้ามาโจรกรรม ไม่พบร่องรอยถูกงัดแงะ ประตูรั้ว ประตูบ้าน หน้าต่างทุกบานยังอยู่ดีเป็นปกติ จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นคนภายในบ้านเป็นคนเอาไป ซึ่งสอดคล้องกับข้อสงสัยของนายเอกชัยที่เชื่อว่านายพงษ์พิพัฒน์ ลูกชายคนเล็กเป็นผู้ก่อเหตุดังกล่าว เบื้องต้น ตำรวจได้เก็บรอยนิ้วมือแฝงที่คาดว่าเป็นของผู้ก่อเหตุเอาไว้เป็นหลักฐาน ทางคดี แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเป็นเรื่องภายในครอบครัว พ.ต.อ.ประเวศจึงให้เวลาทางครอบครัวได้คุยกันเพื่อ ประนีประนอมและไกล่เกลี่ยกันเองเสียก่อน

กระทั่งวันที่ 16 มิถุนายน นายเอกชัยพร้อมด้วย นายพงษ์พินิจ สุนทรากุลรักษา อายุ 41 ปี ลูกชายคนโต ก็เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประเวศ ศรีนาค ที่ สภ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับคดี ทั้งเปิดเผยเรื่องราวชวนสลดใจด้วย

นายเอกชัย สุนทรากุลรักษา อายุ 72 ปี ให้การ

นายพงษ์พินิจให้การว่า พอพ่ออาการดีขึ้นจำความได้ จึงได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ที่ได้รับบาดเจ็บไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุหกล้ม หัวฟาดพื้น แต่เป็นเพราะถูกนายพงษ์พิพัฒน์ทำร้ายจนบาดเจ็บ และช่วงที่พ่อรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล น้องชายเป็นคนมานอน เฝ้าบ้านที่เกิดเหตุเพียงลำพัง จึงได้ก่อเหตุขโมยเอาทรัพย์สินไป

 

นายเอกชัยกล่าวด้วยความเสียใจว่า ไม่คิดว่าลูกชายแท้ๆ จะทำกับตนได้ และขโมยทรัพย์สินไปทั้งหมดยืนยันขอแจ้งความเอาผิดลูกชายคนเล็กตามกฎหมาย

เมื่อผู้เป็นพ่อยืนยันหนักแน่นอย่างนั้น พ.ต.อ.ประเวศจึงเชิญตัวนายพงษ์พิพัฒน์ ลูกชายคนเล็กมาพบพนักงานสอบสวน โดยเจ้าตัว ให้การภาคเสธว่าทรัพย์สินทั้งหมดเอาออกไปจากตู้เซฟจริง แต่เอาไปเก็บไว้ไม่ได้ขโมยและไม่ได้ทำร้ายร่างกายผู้เป็นพ่อตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด

นำตัวดำเนินคดี

แม้จะอ้างว่านำไปเก็บไว้ให้ แต่เมื่อทรัพย์สินทั้งหมดยังเป็นของนายเอกชัย หากผู้อื่นมาเอาทรัพย์สินไปโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม ก็สามารถแจ้งความเอาผิดดำเนินคดีตามกฎหมายได้ไม่เว้นแม้แต่ลูกชาย

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวนายพงษ์พิพัฒน์ ไปตรวจค้นที่บ้านพัก ที่กรุงเทพมหานคร พบอาวุธปืนและทองรูปพรรณ บางส่วนที่ยังอยู่จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นได้นำตัว ไปตรวจค้นที่ห้องพักบ้านที่เกิดเหตุ โดยภายในห้องนอนพบอาวุธปืน 1 กระบอก จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะแจ้งข้อหาและ นำตัวดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายต่อไป

สุทธิพร กองสุทธิผล – เรื่อง/ภาพ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน