กลับมาพิสูจน์ตัวในฐานะคนทำหนัง อีกครั้ง หลังประสบความสำเร็จจาก ภาพยนตร์ดราม่าที่แสดงความงดงามของศิลปะการแสดงพื้นบ้านภาคใต้อย่างเรื่อง “เทริด” หรือ “โนราห์” ต่อด้วยภาพยนตร์รักเบาสมอง “มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ”
ล่าสุด เอกชัย ศรีวิชัย ขอเสนอภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง “มนต์รักวัวชน” นำแสดงโดย ไพศาล ขุนหนู (ไข่แคว๊ด), ตั๊กแตน ชลลดา (เป็ดน้อย), พลตรี แสงมณี (ผู้กองพลตรี), ลิลลี่ เลิกคุยทั้งอำเภอ (ปลากริม), เอกชัย ศรีวิชัย (กำนันช้าง), หม่ำ จ๊กมก (เสี่ยแมว), อาภาพร นครสวรรค์ (แม่อ้อยควั่น), มนตรี แสงมณี (พ่อเณรไข่) ฯลฯ
จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ “มนต์รักวัวชน”?
เอกชัย – “ทุกครั้งที่ได้รับโจทย์ก็จะมาจากคุณนก ปัญชลีย์ ผู้บริหาร M39 บอกว่าพี่เอกยึดหัวหาดใต้เลย เอาสิ่งที่เป็นใต้ออกมาให้ชัด อย่างเรื่องนี้ คุณนกอยากให้หยิบเรื่องวัวชนมาทำ ต้องการเชิดชูกีฬาแนวนี้ของคนปักษ์ใต้ ให้เราไปเขียนเรื่องทำบทมา ผมก็พยายามเน้นให้เห็นว่าการพนันวัวชนและนักเลงวัวชนต่างกันอย่างไร เกมกีฬาเป็นเรื่องของนักพนันวัวชนไหม หรือเป็นเรื่องของนักเลงวัวชน หัวใจมันอยู่ตรงนี้ เดินสองเส้นนี้ ซึ่งการถ่ายทำยากมาก ใช้กล้องสิบกว่าตัว เก็บทุกมุมของวัวชน ซึ่งมันอันตราย วันนั้นถ่ายมา 12 คู่ เก็บไว้เป็นฟุตเทจ แล้วเอามาเลือกใช้คู่ที่มันๆ เห็นแม้กระทั่งเวลามันเหนื่อย มันพ่นลม เหงื่อ น้ำตา ปิดตาเปิดตา ในงานวัวชนวันนั้น มันน่ากลัวในการทำงาน แต่ออกมาเป็นภาพยนตร์แล้วสนุก”
เลือกนักแสดงเองไหม?
เอกชัย – “คุณนกจิ้มก่อนว่าอยากได้ใคร แล้วเราเขียนเรื่อง ให้ตรงกับเด็ก คุณนกบอกอยากได้ลิลลี่แก่นๆ อยากได้ตำรวจเท่ๆ ก็เอาพลตรีมาเล่น อยากได้นักเลงวัวชนดูขรึมๆ แบบไพศาล ก็เขียนตามคาแร็กเตอร์ของเด็กที่มีอยู่ อย่างลิลลี่และตั๊กแตนเขาเป็นคนที่เล่นหนังเป็นธรรมชาติมาก”
“หนังเรื่องนี้จะเป็นคอมเมดี้ เส้นเรื่องแข็งแรงในเรื่องบทดราม่า ไอ้ตัวที่เราเล่นจะมีความคอมเมดี้อยู่ในตัว เล่นกับพี่หม่ำ พี่หม่ำเล่นจริงก็ขำ ผมเล่นจริงก็ขำ ซึ่งในการทำงานของพี่หม่ำไม่มีสคริปต์ บทเราแค่บอกไกด์เฉยๆ เดี๋ยวเขาก็ไปของเขาเอง มันเป็นทางที่เราเล่นกันเข้าใจกัน”
Advertisement
ทำเรื่องนี้มาปีกว่า บางคนอาจกังวลเรื่องเนื้อเรื่องจะช้าไปไหม?
เอกชัย – “หนังเราไม่ได้บอกยุค เสื้อผ้าก็ไม่ได้เป็นแฟชั่นยุคไหน มันเป็นวิถีชาวบ้าน กี่ปีมันก็อยู่อย่างงั้นแหละ เรื่องความรัก จะรักตอนโควิดหรือไม่มีโควิด มันก็สะกดด้วย ร ไม้หันอากาศ ก คำว่านักเลงก็เหมือนกัน คำว่าวัวชนก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรเปลี่ยน”
งานอื่นๆ ของพี่เอกนอกจากนี้?
เอกชัย – “จะมีคอนเสิร์ต 23 ก.ค. ถึง 5 ส.ค.65 ทุกวันเลย คอนเสิร์ตใหญ่กลับมาอีกครั้ง เมื่อก่อนเล่น 100 คิว เหลือ 15 คิว ที่เหลือน้อยก็ดูสภาพหัวหน้าวง (หัวเราะ) ที่ผมทำเพราะคิดถึงแฟนคลับ แล้วแฟนคลับคิดถึงผม อยากมีโอกาสเจอกัน โชคดีที่ยังมีคนรักและคนติดตามหลายเจเนอเรชั่น”
รู้สึกอย่างไร ถ้าพูดถึงศิลปินต้นแบบต้องมีชื่อพี่เอกอยู่ โดยเฉพาะภาคใต้ มีปัญหาอะไรก็พี่เอกช่วยเคลียร์หน่อย?
เอกชัย – “ในภาคใต้ศิลปินทุกคน เด็กวัยรุ่นทั้งหมด เรียกผมพ่อทุกคน ทุกคนให้เกียรติ เด็กพวกนี้อาจจะได้รับการสอนการดูแล ผ่านจุดความเป็นธรรมและเที่ยงแท้ มากกว่าการเอารัดเอาเปรียบ มากกว่าการหวังผลประโยชน์บนตัวเด็ก ก็เลยทำให้เด็กรู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้จากป๋าคือความบริสุทธิ์ใจ เหมือนพ่อเขาจริงๆ”
มีเด็กๆ เข้ามาหาเยอะไหม ประมาณอยากให้ช่วยเรื่องให้โอกาส?
เอกชัย – “คืออย่างนี้ บางคนคิดว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ผมไม่เชื่อ มันต้องมีต้นทุน แขนจะรำโนราห์ฝึก ให้ตายก็ไม่ได้ อนาโตมี่ต้องมาก่อน ถูกมั้ย ถ้าอยากจะมาเล่นหนังตะลุง ต้องร้องหนังตะลุงให้ดูก่อน ถ้ามีโอกาส มีแววก็สนับสนุน แต่ถ้าเสียงไม่ได้ ฝึกให้ตายยังไงก็ไม่ได้”
เขาบอก “พี่เอกเป็นคนทรงอิทธิพลในภาคใต้” รู้สึกอย่างไรกับคำนี้?
เอกชัย – “ผมมองว่า คำว่าทรงอิทธิพล ไม่ได้หมายถึงมาเฟีย ทรงอิทธิพลในการที่เด็กเอาเป็นแบบอย่าง อันดับแรกต้องจับต้องได้ว่าสิ่งที่ป๋าทำเป็นสิ่งที่ถูก ตั้งอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรม ไม่เอาเปรียบสังคม ไม่เอาเปรียบคนรอบข้าง สำคัญไปกว่านั้นต้องซื่อสัตย์กับ ตัวเอง ต้องจริงใจ เอาหัวใจคบ”
สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงแฟนๆ ที่ติดตามเรา?
เอกชัย – “31 ปีที่อยู่วงการ ผมไม่เคยทำอะไรให้แฟนคลับเสียใจ ไม่เคยมีอะไรเสียหาย อาจมีข่าวที่แย่ๆ บ้างก็เรื่องการเมือง ซึ่งมัน เป็นจุดยืนของผม แต่บางคนที่แยกแยะไม่ออก เขาอยากให้เราชอบตามที่เขาชอบ มันไม่ได้ ต้องปล่อยความคิดตรงนี้ให้เสรี เป็นอิสระ”
“ส่วนงานที่ทำ ผมไม่เคยเอาเปรียบคนดู ก็ขอขอบคุณทุกคนที่ให้เกียรติ แล้วก็ติดตามผลงานผมมาตลอด ผมพยายามใช้เวลาที่เหลือสร้างสิ่งที่เป็นคุณูปการให้กับแผ่นดิน ให้กับชาติ ให้กับเยาวชน ให้โอกาสเด็กรุ่นหลังๆ ให้มากที่สุด ผมพูดเสมอ คนที่โง่ที่สุดไม่ใช่คนที่อ่านหนังสือไม่ออก แต่เป็นคนที่มีโอกาสแล้วไม่คว้า”
“ผมก็พยายามยื่นโอกาสให้ทุกๆ คน เหมือนกับที่ท่านให้โอกาสพวกผมมาตลอดครับ”
อนงค์ จันทร
