การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดกลับมาขยับ สูงขึ้น สอดคล้องกับสถานการณ์ทั่วโลก เนื่องจาก การแพร่กระจายของเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ ย่อย BA.4 และ BA.5

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุสายพันธุ์ ย่อยดังกล่าวกำลังเข้ามาเบียดแทนที่สายพันธุ์ย่อยเดิม เพราะการแพร่เชื้อเร็วขึ้น หลบภูมิคุ้มกันได้ดี

อีกทั้งการผ่อนคลายมาตรการ เปิดกิจกรรม ทางเศรษฐกิจ การเดินทางเข้าออกประเทศมากขึ้น จึงทำให้เชื้อแพร่เพิ่มขึ้น จากเดิมผู้ติดเชื้อรายใหม่ ต่อวันประมาณ 2,000 คน คาดเดือนก.ย.อาจเพิ่มเป็น 4,000 คนต่อวัน

เปรียบเหมือนระลอก หรือเวฟเล็กๆ เป็นอาฟเตอร์ช็อกตามมาหลังการระบาดครั้งใหญ่

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงอธิบายว่าเป็นการเข้าสู่ระยะหลังการระบาดใหญ่ หมายความว่ายังพบการติดเชื้อได้ แต่ความรุนแรงของโรคลดลง การเข้ารับการรักษาในร.พ.จะไม่มากเกินระบบสาธารณสุขจะรองรับได้

จากการผ่อนคลายมาตรการ เปิดกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ รวมถึง เปิดประเทศ มีผู้เดินทางเข้ามามากขึ้น อาจพบการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่ไม่ใช่การระบาดใหญ่

กระทรวงสาธารณสุขจึงเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยการจัดเตรียมแพทย์ เตียงร.พ. ยาและเวชภัณฑ์ให้เพียงพอ พร้อมสั่งการทุกร.พ. ในสังกัดรับมือ

ขณะที่ประชาชนเองยังจำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย แม้ให้เป็นไปตามความสมัครใจก็ตาม รวมถึงฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และในกลุ่มเปราะบาง 608 หากติดเชื้อแล้วอาการหนักจะได้ไม่รุนแรง

จากสถานการณ์และแผนรับมือโควิดอีกระลอก ศบค.คณะใหญ่ ที่มีนายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.ศบค.จะประชุมในวันศุกร์ที่ 8 ก.ค.นี้ เพื่อพิจารณาแผนการเดินหน้าให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น

ซึ่งแต่เดิมตั้งเป้าหมายวันที่ 1 ก.ค. แต่เนื่องจากมาตรการผ่อนคลาย รวมถึงการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้องปรับแผน โดยกระทรวงสาธารณสุขจะเสนอให้ศบค.พิจารณาเห็นชอบ

อย่างไรก็ตาม มาตรการที่จะออกมาต้องไม่ควบคุมบังคับเข้มงวดเหมือนที่ผ่านมา มีแต่จะต้องผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อเร่งฟื้นฟูประเทศ เพราะประชาชนเดือดร้อน จากความไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอของรัฐบาล ในการรับมือปัญหาเศรษฐกิจ

รวมถึงต้องพิจารณาเรื่องสถานการณ์ฉุกเฉิน ยังจำเป็นหรือไม่ในขณะนี้ ไม่ใช่ยังคงไว้เพื่อรักษาอำนาจของรัฐบาล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน