ถือเป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง สำหรับกรณีของบิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก- บางกลอย ที่หายสาบสูญปริศนาขณะถูกควบคุมตัวโดยนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เมื่อปี 2557

ต่อมาเมื่อยืนยันได้ชัดเจนด้วยการสอบสวนโดยดีเอสไอ ก็พบหลักฐานสำคัญเป็นถังน้ำมัน 200 ลิตร ที่มีร่องรอยการฆ่าเผาอย่างทารุณ ก่อนพบชิ้นส่วนกะโหลก ที่ตรวจสอบแล้วว่าน่าจะเป็นบิลลี่ที่สาบสูญ

จนกลายเป็นการดำเนินคดีฆาตกรรมต่อนายชัยวัฒน์ และพวก

โดยเชื่อว่าแรงจูงใจคือการดำเนินคดีกับนายชัยวัฒน์และพวกที่ไปเผาไล่ที่หมู่บ้านกะเหรี่ยงนั่นเอง

อย่างไรก็ตามเมื่อเรื่องไปถึงอัยการ กลับมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีฆ่า โดยให้เหตุผลว่าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ

แต่ด้วยการเห็นแย้งของดีเอสไอ ที่เชื่อว่าทำคดีอย่างรอบคอบรัดกุม นำไปสู่การอุทธรณ์ต่ออัยการสูงสุด

และก็มีคำสั่งส่งฟ้องในที่สุด

ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้นำพยานหลักฐานขึ้นสู่ศาล ทำความจริงให้ปรากฏ








Advertisement

ไม่ให้เกิดวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดอีกต่อไป

เครื่องแสกนใต้น้ำ

■ อสส.ฟ้องชัยวัฒน์คดีฆ่า

วันที่ 15 ส.ค. นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อัยการสูงสุด (อสส.) เปิดเผยว่า มีคำสั่งชี้ขาดความเห็นเเย้งให้ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม 4 คน ฐานร่วมกันฆ่านายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยไตร่ตรองไว้ก่อน

โดยหลังจากนี้สำนวนถูกส่งให้นายพรชัย ชลวาณิชกุล อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ จากนั้นจะจ่ายสำนวนไปให้อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เพื่อออกหมายนัดนายชัยวัฒน์กับพวกมายื่นฟ้องต่อศาลต่อไป

สำหรับคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องนั้น ประกอบด้วยนายชัยวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 1 นายบุญแทน บุษราคำ ผู้ต้องหาที่ 2 นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ ผู้ต้องหาที่ 3 และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้

ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง ร่วมกัน หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขัง หรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย

และร่วมกันโดยทุจริตหรืออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพ เสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

ซึ่งก่อนหน้านี้อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 มีคำสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์และพวกในคดีฆาตกรรม ตามสำนวนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เนื่องจากเห็นว่าไม่มีประจักษ์พยาน และพยานแวดล้อมใดๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าผู้ต้องหาทั้งสี่ร่วมกันกระทำผิด มีพยาน หลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง

แต่ยังให้ฟ้องในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และฐานสนับสนุนให้กระทำความผิด

ต่อมาอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีความเห็นแย้ง และส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณา และชี้ขาดให้สั่งฟ้องฐานร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ขณะที่นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ระบุว่าเป็นคนละส่วนกับคำสั่งให้นายชัยวัฒน์กลับเข้ารับราชการ เพราะกรณีดังกล่าวเป็น คำสั่งศาลปกครองสูงสุด ซึ่งจะประชุมอ.ก.พ. กระทรวงจัดสรรตำแหน่งข้าราชการระดับ 9 ให้เหมือนเดิม

แม้จะตกเป็นจำเลยในคดีฆาตกรรมก็ตาม!!!

งมหาหลักฐาน

■ ย้อนนาทีบิลลี่หายปริศนา

สำหรับบิลลี่ หรือพอละจี รักจงเจริญ เป็นชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกอบต.ห้วยแม่เพรียง และเคลื่อนไหวต่อสู้จากกรณีที่ชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานบุกไล่ที่ เผาบ้าน เผายุ้งข้าวเมื่อปี 2554 จนคดีเริ่มจะเข้าสู่ศาล

ต่อมาในวันที่ 17 เม.ย. 2557 บิลลี่ขี่จยย.สีเหลืองดำ ทะเบียน ขพง 998 ออกจากบ้านมุ่งหน้าไปที่ตัวอำเภอแก่งกระจาน เพื่อเตรียมข้อมูลยื่นถวายฎีกาเรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้าน ที่ได้รับผลกระทบจากเจ้าหน้าที่อุทยานที่ผลักดันให้ออกจากป่า

ระหว่างทางที่บ้านหนองมะเรว ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี บิลลี่ถูกเรียกตรวจโดยเจ้าหน้าที่อุทยานและพบน้ำผึ้งป่า จึงควบคุมตัวไว้ พร้อมวิทยุแจ้งให้นายชัยวัฒน์รับทราบ และเดินทางมาสอบสวนบิลลี่ด้วยตัวเอง

ต่อมาวันที่ 18 เม.ย.2557 คนในครอบครัวบิลลี่ร้องเรียนว่าบิลลี่หายไป พร้อมแจ้งความที่สภ.แก่งกระจาน

ชัยวัฒน์กับบิลลี่

ขณะที่นายชัยวัฒน์ระบุว่า เมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 ตนกลับจากภารกิจที่เขาพะเนินทุ่ง มาถึงจุดตรวจด่านสามยอด ได้รับแจ้ง ทางวิทยุว่าควบคุมตัวชาวบ้านบางกลอย มีน้ำผึ้งป่าที่เป็นสิ่งหวงห้ามซ่อนอยู่ เมื่อไปถึงพบนายบิลลี่ ขณะนั้นฝนตก จึงให้เจ้าหน้าที่นำบิลลี่และจยย.พร้อมของกลางขึ้นรถ ของตนขับไปที่อุทยาน

ระหว่างทางนายบิลลี่ขอร้องให้ปล่อยตัว อ้างว่าซื้อน้ำผึ้งป่ามาจากชาวบ้านแค่ 5 ขวด เป็นความผิดเล็กน้อย แต่ตนไม่เชื่อเพราะ บิลลี่มีกระเป๋าใบใหญ่ คาดว่ามีน้ำผึ้งอีกจำนวนมาก ขณะนั้นรถมาถึงบ้านมะค่า ห่างจากด่านมะเรว 9 ก.ม. จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่จอดรถ และลงมาค้นสัมภาระอีกรอบ เมื่อไม่พบน้ำผึ้งอีก จึงว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไปพร้อมจยย. จากนั้นกลับไปที่ไร่ราชพฤกษ์เตรียมจัดงานสงกรานต์ย้อนหลัง

เริ่มต้นด้วยคดีคนหายซึ่งหาทางออกไม่ได้

ต่อมาวันที่ 28 มิ.ย. 2561 ดีเอสไอมีมติรับเป็นคดีพิเศษ จากคำร้องของนางพิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของบิลลี่ จากนั้นก็สืบสวนด้วยการใช้โดรนสำรวจทางอากาศ และหุ่นยนต์สำรวจใต้น้ำ เพื่อค้นหาวัตถุพยาน

ในที่สุดเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2562 ก็พบหลักฐานสำคัญคือ ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน ในสภาพเจาะรู มีลักษณะผุดำ ไหม้เป็นบางส่วน

นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้นภายใน และเศษกระดูกมนุษย์ภายนอกอีกหลายชิ้น

เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคดีฆาตกรรม

ใต้สะพานแขวน

■ สำนวนแน่นย้ำชัดฆาตกรรม

จากการตรวจสอบโดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์ พบว่าเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อน หรือถูกเผาด้วยความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส

ตรวจพบสารพันธุกรรมตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ แม่นายพอละจี ด้วยวิธีไมโทคอนเดรีย ตรวจสอบสารพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก ยืนยันได้ว่ากะโหลกศีรษะที่พบเป็นของนายพอละจี และเสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรม

สำหรับถังน้ำมันที่ใช้บรรจุกะโหลกศีรษะ ดีเอสไอส่งให้ศูนย์พิสูจน์หลักฐานภาค 7 ตรวจหาร่องรอยการผ่านความร้อนและการผุกร่อน

สรุปได้ว่าศพถูกนำมาเผาทำลายอำพรางคดี โดยเฉพาะเหล็กเส้น 2 เส้น จากเสาตอม่อ และพฤติการณ์ครั้งนี้เข้าข่ายลักษณะเป็นการฆาตกรรมโดยทรมาน และการบังคับบุคคลให้สูญหายที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ

หลังจากข้อมูลถูกเปิดเผยก็มีภาพจากนักท่องเที่ยวที่โพสต์ไว้ช่วงเดือนก.ย.2559 ในจุดสะพานแขวนดังกล่าว ซึ่งในปีนั้นมีสภาพน้ำแห้ง ก็พบเห็นถังดังกล่าวชัดเจน จึงได้สอบปากคำเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อย

ถังมรณะ

นอกจากนี้ จากการสอบสวนพบแล้วถึงจุดที่คนร้ายนำจยย.ของ บิลลี่ไปทำลาย และจุดฆ่าเผาเรียบร้อย สามารถเชื่อมโยงกันได้ทั้งหมด

รวมทั้งสืบสวนของบช.ภาค 7 เมื่อ 5 ปีก่อนในคดีคนหาย ซึ่งสรุปในสำนวนว่าไม่พบการปล่อยตัวบิลลี่จากการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่อุทยานแก่งกระจาน

โดยเช็กจากกล้องวงจรปิด 4 จุด ประกอบด้วย จุดที่ 1 จุดพุไทร 2.จุดคุ้มนางพญา 3.จุดร้านสมร และ 4.จุดหนองปืนแตก ซึ่งเป็น จุดทางกลับไปไร่ชัยราชพฤกษ์ของนายชัยวัฒน์

นอกจากนี้จากการจำลองเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นตามคำให้การของพยาน ก็พบความขัดแย้งทั้งเรื่องช่วงเวลา และจุดที่อ้างว่าปล่อยตัวบิลลี่

ทั้งหมดล้วนอยู่ในสำนวนคดีฆาตกรรมที่อัยการสูงสุดเพิ่งสั่งฟ้อง

ต้องติดตามดูความกระจ่าง และหวังว่าบิลลี่คงจะไม่ตายฟรี!!!!

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน