เศรษฐกิจ - ททท.เร่งออกแพ็กเกจดึงเที่ยวไทย

สกัดทัวร์เมืองนอก-หวั่นปัจจัยลบทำคนชะลอ

ททท.เร่งออกแพ็กเกจจูงใจคนไทยเที่ยวไทย สกัดแพ็กเกจดึงดูดคนไทยไปเที่ยวนอก หวั่นปัจจัยลบน้ำมันแพง เศรษฐกิจชะลอ และน้ำท่วมทำคนชะลอเที่ยว

น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้หลายประเทศได้ออกแพ็กเกจดึงดูดนักท่องเที่ยวคนไทย อาทิ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน ล้วนออกแพ็กเกจดึงดูดนักท่องเที่ยวคนไทยใน 8 กลุ่มที่มีศักยภาพ ที่มีอัตราการเดินทางถี่ มีการใช้จ่ายสูง ได้แก่ กลุ่มคู่รักสายวาย ที่มีอัตราการเดินทางถี่ 36% กลุ่มเพื่อนเรียน กลุ่มเพื่อนในเฟซบุ๊ก มีอัตราการเดินทาง 18%

กลุ่มครอบครัว มีอัตราการเดินทาง 10% กลุ่มเดินทางคนเดียว บล็อกเกอร์ อินฟลูเอนเซอร์ มีอัตราการเดินทาง 9.5% กลุ่มครอบครัวใหญ่ มีอัตราการเดินทาง 9% กลุ่มผู้หญิงที่เดินทางคนเดียว มีอัตราเดินทาง 8% กลุ่มผู้หญิงเก่งสาวมั่น มีอัตราการเดินทาง 5% และกลุ่มเครือญาติ มีอัตราเดินทาง 3.2% ททท.จำเป็นต้องเร่งออกแพ็กเกจจูงใจคนเหล่านี้ให้เที่ยวในเมืองไทย โดยหาแพ็กเกจที่แสดงให้เห็นความหวงแหนให้นักท่องเที่ยวเหล่านี้เที่ยวในไทย

นอกจากนี้ ททท.ยังจับตาปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว คือ อัตราเงินเฟ้อ น้ำมันที่ยังอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่องกระทบต่อเศรษฐกิจในครัวเรือน ทำให้คนไทยมีรายจ่ายที่สูงขึ้น แต่รายได้ลดลงจากการตกงาน และยังมีเรื่องของน้ำท่วมอยู่ประมาณ 29 จังหวัด ตลอดจนปัญหาโรคระบาด ทั้งหมดนี้มีผลต่อการตัดสินใจ เดินทางท่องเที่ยวของคนไทย โดย 9 เดือนแรกปี 2565 (ม.ค.-ก.ย.) มีนักท่องเที่ยวไทยที่ค้างแรมจำนวน 103 ล้านคน/ครั้ง สร้างรายได้ 5.48 แสนล้านบาท ค่าใช้จ่าย 2,800 บาท/คน/ทริป ลดลง 43% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4,000 บาท/คน/ทริป วันพักเฉลี่ยปี 2.21 วัน/ทริป

“จากปัญหาเศรษฐกิจในครัวเรือน เงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน ที่สูงขึ้นส่งผลให้คนไทยเที่ยวแบบประหยัด การพัก ค้างคืนก็ลดลงจากก่อนการระบาดของโควิดเมื่อปี 2562 ส่วนน้ำท่วมต้องยอมรับกระทบต่อการท่องเที่ยวพอสมควร มีการยกเลิกเที่ยวบินและโรงแรมจำนวนมาก และยังมีเรื่องของการเปิดรับนักท่องเที่ยวของต่างประเทศ อาจมีการดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยในกลุ่มที่มีกำลังซื้อ”

น.ส.ฐาปนีย์กล่าวว่า ปี 2565 คาดนักท่องเที่ยวไทย มีจำนวนประมาณ 165 ล้านคน/ครั้ง สร้างรายได้ ที่ 6.5 แสนล้านบาท หรือประมาณ 65% ของเป้าหมายรายได้รวมที่ตั้งไว้ทั้งปีที่ 1.2 ล้านล้านบาท