เป็นประเด็นสร้างความสงสัยในสังคมอย่างกว้างขวาง เมื่อในโลกออนไลน์เผยแพร่ภาพและคลิปวิดีโอ ของนายครรชิต ทับสุวรรณ อดีตส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์ ขณะร่วมในงานเลี้ยง ส่วนตัว

เนื่องเพราะนายครรชิตเป็นจำเลยในคดีฆาตกรรม ที่ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุกตลอดชีวิต

จากการรัวกระหน่ำยิง นายกตุ่น นายอุดร ไกรวัตนุสสรณ์ อดีตนายกอบจ.สมุทรสาคร ถึง 9 นัด เสียชีวิตคาปั๊มน้ำมัน ช่วงเวลากลางวันแสกๆ เหตุเกิดเมื่อปี 2554

โดยภายหลังจากการก่อเหตุ นายครรชิต ได้เข้ามอบตัว พร้อมให้การปฏิเสธสู้คดีในชั้นศาลอย่างต่อเนื่อง โดยศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต ก่อนที่ชั้นอุทธรณ์และฎีกาจะยืนให้จำคุกตลอดชีวิต

แฟ้มคดี

เมื่อครั้งมอบตัว

แต่ในที่สุดผ่านมาไม่ถึง 10 ปี นายครรชิตก็สามารถออกมาสู่โลกภายนอกได้

จนมากระจ่างว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะนายครรชิตเป็นนักโทษ เด็ดขาดชั้นเยี่ยม ได้รับพระราชทานอภัยโทษ-ลดโทษ รวม 5 ครั้ง จากตลอดชีวิตเหลือจำคุก 7 ปี 10 เดือน 25 วัน

กลายเป็นคำถามจากส.ว. ผู้ทรงเกียรติว่ามีเงื่อนงำในการจัดลำดับชั้นนักโทษหรือไม่อย่างไร








Advertisement

เป็นเรื่องที่กระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ ต้องตอบเพื่อให้สิ้นข้อกังขาในสังคม!!!

แฟ้มคดี

 

● ปล่อยตัวครรชิต ทับสุวรรณ

เหตุการณ์นี้ปรากฏเป็นที่สนใจของสังคมเมื่อวันที่ 16 ต.ค. เมื่อ ในโลกออนไลน์ มีการส่งต่อคลิปวิดีโอ ที่มีภาพ นายครรชิต ทับสุวรรณ อายุ 52 ปี อดีตส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ต้องขังในคดีฆาตกรรม นายอุดร ไกรวัตนุสสรณ์ อดีตนายก อบจ.สมุทรสาคร ภายในปั๊มน้ำมัน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2554

หลังจากนั้นนายครรชิตได้มอบตัวพร้อมทนายความ ให้การปฏิเสธทั้งหมดและสู้ในชั้นศาล จนกระทั่งเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2559 ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต

ทั้งนี้คลิปวิดีโอดังกล่าว เป็นการกล่าวบนเวทีงานเลี้ยงของนายครรชิต ขอบคุณเพื่อนฝูงที่ไปเยี่ยมในเรือนจำ จนถูกตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดบุคคลที่ถูกพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตจากคดีฆ่าคนตาย ถึงออกมาอยู่โลกภายนอกได้แล้ว

โดยนายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าวว่า ข่าวจากสื่อมวลชนยืนยันว่า นักการเมืองที่ต้องโทษคดีร้ายแรง ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต ขณะที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำหลังการรับโทษได้เพียง 7 ปี

เบื้องต้นตรวจสอบข้อมูลพบว่า มีข้อบกพร่องที่สมควรเสนอต่อ นายกฯ และผู้เกี่ยวข้องตรวจสอบโดยด่วน เพราะสังคมตั้งข้อสงสัยว่ามีขบวนการใดดำเนินการซื้อขายเลื่อนชั้นไปรอรับอภัยโทษต่อเนื่อง จริงหรือไม่

“คดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งประหารชีวิต ศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ศาลฎีกายืนตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ราชทัณฑ์ใช้อำนาจแค่เรือนจำ เลื่อนชั้นเลื่อนเกรดเป็นชั้นดีชั้นเยี่ยม ราชทัณฑ์ทำหน้าที่พิพากษาตัดสินโทษใหม่แทนศาลได้หรือ

จึงลดโทษไป 43 ปี เหลือติดจริงแค่ 7 ปี

งานนี้นายกฯ ควรสั่งตรวจสอบหากพบทุจริตต้องเอาผิดคนดำเนินการชง เลื่อนชั้น ในขบวน เพื่อปล่อยนักโทษ เข้าคุกแทน เพราะฟังคำชี้แจงจากหน่วยงาน ฟังไม่ขึ้น”

โจมตีตั้งคำถามถึงขึ้นมีกระบวนการซื้อ-ขายเลื่อนชั้นระดับการ เป็นนักโทษ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มากที่กระทรวงยุติธรรมและ กรมราชทัณฑ์ควรชี้แจงให้กระจ่าง

ขณะที่รายงานจากกรมราชทัณฑ์ชี้แจงเพียงว่า การนับโทษของนายครรชิต เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย.2557 ซึ่งระหว่างต้องโทษ นายครรชิตได้รับการเลื่อนชั้นนักโทษ เป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยม รวมถึงได้รับพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษรวม 5 ครั้ง

โทษสุดท้ายเหลือจำคุก 7 ปี 10 เดือน 25 วัน กำหนดพ้นโทษเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมา เรือนจำกลางบางขวางจึงปล่อยตัวในกรณี จำคุกครบตามกำหนดโทษในหมายสุดท้าย

เป็นโทษที่ลดจากการจำคุกตลอดชีวิต!!!

แฟ้มคดี

ญาตินายกตุ่นทำบุญ

● เปิดคำพิพากษา 3 ศาล

ขณะที่คดีดังกล่าว มีคำพิพากษาในชั้นต้น เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2557 โดยพิเคราะห์หลักฐานของการสืบสวนสอบสวนพยานบุคคล และประจักษ์พยาน เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ ตัดสินให้ประหารชีวิตนายครรชิต ในความผิดตามมาตรา 289(4) ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง ไว้ก่อน มาตรา 390 ข่มขู่ผู้อื่นให้เกิดความกลัว มาตรา 392 ยิงปืนโดยไม่มีเหตุอันควรในที่สาธารณะ และมาตรา 371 พกพาอาวุธปืนไป ในที่สาธารณะหรือหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร

หลังจากฟังคำพิพากษา นายครรชิตยื่นประกันตัวด้วยหลักทรัพย์เงินสด 1.4 ล้านบาท ต่อมาศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว และคุมตัวเข้าเรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร

จากนั้นญาติยื่นประกันอีกครั้งต่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 โดยศาลพิจารณาเห็นว่า ความหนักเบาแห่งข้อหา พฤติการณ์แห่งคดี หากปล่อยชั่วคราวเกรงจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ประกันตัว

ขณะที่การต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ ในเดือนต.ค.2558 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษ จากประหารชีวิต มาเป็นจำคุกตลอดชีวิต โดยเห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่การฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่เป็น เหตุที่พบกันซึ่งหน้าแล้วจึงบันดาลโทสะ

ขณะในชั้นศาลฎีกาที่ทั้ง 2 ฝ่ายสู้คดีนั้น โดยวันที่ 8 ธ.ค.2559 ศาลจังหวัดสมุทรสาคร ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา พิจารณาประเด็นที่จำเลยอ้างว่าไม่ได้เป็นผู้ลงมือ ซึ่งจากการรับฟังพยานบุคคลที่ให้การตรงกัน รวมทั้งการที่จำเลยเป็นส.ส.ในพื้นที่ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของจ.สมุทรสาคร รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้าย

ประเด็นฎีกาต่อมาคือการสอบสวนกระทำโดยมิชอบ เพราะจำเลยเป็นส.ส. ขณะเกิดเหตุอยู่ในสมัยประชุมรัฐสภา สมัยสามัญนิติบัญญัติ พ.ศ.2554 ระหว่างประชุมห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกส.ส. ไปสอบสวน เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสภาที่เป็นสมาชิก หรือจับ ขณะที่กระทำความผิด ถือเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ สอบสวนโดย มิชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยแล้วว่า จำเลยสมัครใจไปมอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และแถลงขอสละสิทธิ์คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ก็แถลงว่าจำเลยไม่ขอใช้เอกสิทธิ์ส.ส.จึงฟังเป็นข้อยุติว่าจำเลยสมัครใจไม่ใช้เอกสิทธิ์

ประเด็นที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เห็นว่า มีข้อน่าระแวงสงสัยเพราะจำเลยอาจไปพบผู้ตาย โดยบังเอิญ แล้วตัดสินใจยิงผู้ตายในทันทีก็ได้

พฤติการณ์แห่งคดียังไม่พอรับฟังได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษานั้นชอบแล้ว

ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ศาลฎีกาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว และให้ชดใช้ค่าสินไหมแก่ภรรยาและบุตร ของผู้เสียชีวิต จำนวน 13,300,000 บาท

ก่อนจำคุกจริง 7 ปี 10 เดือน 25 วัน

แฟ้มคดี

นายกตุ่น

● ย้อนนาทีรัวดับนายกตุ่น

สำหรับคดีดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2554 เป็นเหตุการณ์ขณะที่ นายอุดร หรือนายกตุ่น เดินสายร่วมเปิดงานต่างๆ ในฐานะ นายกอบจ.สมุทรสาคร ก่อนแวะห้องน้ำในปั๊มน้ำมันปตท.

ระหว่างนั้นรถกระบะวีโก้ สีบรอนซ์ทอง ขับเข้ามาจอดข้างๆ ชายรูปร่างสูงใหญ่ใส่ชุดซาฟารีสีเข้มลงจากรถ และเข้าไปพูดคุยกับ นายกตุ่น ที่หน้าห้องน้ำ แล้วชักปืนพกขนาด .40 ออกมารัวยิงนายกตุ่น ถึง 9 นัดซ้อน เสียชีวิตคาที่ ต่อหน้าต่อหน้าคนขับรถและชาวบ้านที่แวะเข้ามาใช้บริการภายในปั๊ม

ส่วนคนร้ายกระโดดขึ้นรถและเร่งเครื่องหลบหนีไป

ทั้งนี้ พยานที่เป็นคนขับรถของนายกตุ่น จำได้ชัดเจนว่า คนลงมือก่อเหตุคือนายครรชิต เนื่องจากเป็นส.ส.ในพื้นที่ และเคยเจอหน้าตามงานหลายครั้ง และทุกครั้งก็จะยกมือไหว้

พร้อมระบุอีกว่า หลังเกิดเหตุเมื่อวิ่งเข้าไปดูศพผู้เป็นนาย ยังถูกนายครรชิตใช้ปืนจ่อที่หน้าผาก แล้วพูดว่า “เดี๋ยวมึง” จนพยานตกใจยกมือไหว้ขอโทษแล้ววิ่งหลบไปทางอื่น จากนั้นนายครรชิต ก็ออกจากที่เกิดเหตุไป

หลังจากเกิดเหตุสะเทือนขวัญเพียง 2 วัน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตส.ส. นำทีมกฎหมายและทนายความ พานายครรชิต เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ โดยนายครรชิตให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

สำหรับหลักฐานที่มัดแน่นจนนายครรชิต ดิ้นไม่หลุด นอกจาก คำให้การของพยาน ยังมีปมเรื่องอาวุธสังหาร ซึ่งก็คือปืนกล็อก ขนาด .40 ที่มีไว้ครอบครอง ซึ่งในพื้นที่สมุทรสาคร พบมีเพียง 8 กระบอก 1 ในนั้นมีนายครรชิตครอบครองอยู่ด้วย

เมื่อตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ ก็พบว่าปลอกกระสุนปืนที่ตกอยู่ในจุดเกิดเหตุ มีดีเอ็นเอของนายครรชิตติดอยู่ จึงเป็นอีกหลักฐานสำคัญที่มัดแน่นยากจะดิ้นหลุด

สำหรับชนวนเหตุในการสังหารโหดเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง แต่จากการสอบสวนเชิงลึกพบเป็นเรื่องเกี่ยวกับศักดิ์ศรี

โดยนายกตุ่น เคยมีเลขาฯ สาวคู่ใจที่ทำงานด้วยกันหลายปีและสนิทสนมกันมาก ต่อมาเลขาฯ คนดังกล่าวลาออกไปทำงานที่อื่น กระทั่งได้รู้จักกับนายครรชิต

ต่อมานายครรชิตไม่พอใจที่นายกตุ่นชอบพาดพิงถึงหญิงสาวคนดังกล่าว และเกือบมีเรื่องกันหลายครั้ง

เป็นเรื่องของศักดิ์ศรี ซึ่งเชื่อว่าคือชนวนเหตุ!!!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน