เป็นอีกประเด็นที่ถูกจับตาในการเปิดสมัยประชุมสภา สมัยสุดท้ายในวันที่ 2 พ.ย.นี้
เนื่องจากมีวาระสำคัญ คือการพิจารณาร่างแก้ไขพ.ร.บ.สรรพสามิต หรือที่เรียกกันว่ากฎหมายสุราก้าวหน้า
ที่แม้ก่อนหน้านี้จะผ่านการพิจารณาวาระแรกไปเรียบร้อย เหลือเพียงวาระ 2-3 ก็ตาม
เนื่องจากมีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุชัดเจนว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม เรียกประชุมหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ส่งสัญญาณล้มกฎหมายดังกล่าว
พร้อมให้เหตุผลว่ากลัวจะเกิดปัญหาสุราเถื่อน และการผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ ออกมามอมเมาประชาชน
พร้อมยกตัวอย่างเรื่องกัญชาเสรี ที่จากการปลดล็อกกลายเป็นการปล่อยผี ที่ส่งผลในปัจจุบัน
กลายเป็นประเด็นคำถามว่าการนำเรื่องสุราก้าวหน้าไปเทียบเคียงกับกัญชาเสรีนั้นทำได้เหมาะสมเพียงใด
เพราะเรื่องกัญชานั้นเป็นการปลดล็อกออกจากบัญชียาเสพติด โดยไม่มีมาตรการหรือกฎหมายอะไรรองรับ
ขณะที่สุรานั้นยังมีกฎหมายควบคุมอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเมาแล้วขับ การกำหนดเวลาซื้อ-ขาย หรือการเข้าถึงของเยาวชน
ที่สำคัญคือหากเห็นว่ากัญชาเสรีเป็นปัญหาแล้ว ก็น่าสนใจว่าไม่เคยมีท่าทีอะไรจากพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อจะแก้ไขเรื่อง ดังกล่าว
จึงอดไม่ได้ที่จะถูกตั้งคำถามถึงภาวะผู้นำ หรือความสามารถในการแก้ไขปัญหาว่ามีมากน้อยเพียงใด
ส่วนเรื่องสุราก้าวหน้า สิ่งสำคัญคือการเปิดโอกาสให้ชาวบ้านรายเล็กรายน้อยได้ลืมตาอ้าปาก ได้มีโอกาสใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น สร้างโอกาสในโลกธุรกิจ ซึ่งสัมพันธ์กับเรื่องการแปรรูปสินค้าเกษตร
แน่นอนว่าผู้ได้รับผลกระทบมากสุดก็คือนายทุนใหญ่ที่ผูกขาดกินรวบมายาวนาน
การมีโอกาสผลิตสุรา หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงไม่มีผลกระทบต่อการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเยาวชนอย่างมีนัยยะสำคัญ ตราบใดที่ทุนใหญ่ผลิตกันอย่างมโหฬาร ในทางกลับกันจะเป็นตัวกระตุ้นให้ต้องเพิ่มคุณภาพในการผลิต ลดการผูกขาด ลดความเหลื่อมล้ำลงได้อีกส่วนหนึ่ง และกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทาง
หารายได้เข้าประเทศด้วยของดีที่เรามี ดีกว่าไปออกกฎหมายขายแผ่นดินให้ต่างชาติ แลกกับเม็ดเงินลงทุนอย่างที่พยายามอยู่ทุกวัน
น่าจะดีกว่าเยอะทีเดียว!!!
รุก กลางกระดาน