เอเอฟพีรายงานวันที่ 11 ธ.ค. ถึงสถานการณ์ความไม่สงบในยูเครนว่า ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน แถลงว่าประชาชนมากกว่า 1.5 ล้านคนในเมืองโอเดซาหรือออแดซา ริมชายฝั่งทะเลดำ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ไม่มีไฟฟ้าใช้หลังจากกองกำลังรัสเซียเปิดฉากใช้โดรนกามิกาเซโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนเมื่อช่วงค่ำวันศุกร์ที่ 9 ธ.ค.ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่หน่วยงานด้านพลังงานของภูมิภาคโอเดซาเตือนว่าการซ่อมแซมโรงไฟฟ้าในเมืองโอเดซาอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรืออาจนานถึง 3 เดือน

ประธานาธิบดีเซเลนสกีระบุอีกว่า “การโจมตีของรัสเซียซึ่งใช้โดรนต่อสู้ของอิหร่านในเมืองโอเดซา รวมถึงเมืองและหมู่บ้านอีกหลายแห่ง ส่งผลให้ภูมิภาคริมชายฝั่งทะเลดำตกอยู่ในความมืดมิด และประชาชนกว่า 1.5 ล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้แล้ว” ด้านนายไครีโล ทีโมเชนโก รองหัวหน้าฝ่ายบริหารทำเนียบประธานาธิบดียูเครน กล่าวเพิ่มเติมว่ามีเพียงโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ รวมถึงโรงพยาบาลและแผนกสูติกรรมเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้

ขณะเดียวกันเสนาธิการกองทัพยูเครนเปิดเผยว่า กองกำลังรัสเซียโจมตีทางอากาศอย่างน้อย 20 ครั้ง และยิงขีปนาวุธมากกว่า 60 ลูกถล่มหลายพื้นที่ในยูเครนช่วงวันที่ 9-10 ธ.ค. การ สู้รบส่วนใหญ่อยู่ในเมืองบักมุต แคว้นโดเนตสก์ หนึ่งในพื้นที่ผนวกดินแดนเข้ากับรัสเซีย โดยกองทัพยูเครนเดินหน้าตอบโต้ รวมถึงปกป้องพื้นที่ปกครองของยูเครนในแคว้นโดเนตสก์ และลูฮันสก์ซึ่งมีชายแดนติดต่อกัน ความเคลื่อนไหวของรัสเซียเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวว่าจะเดินหน้าโจมตีโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน ด้านพลังงานของยูเครนอย่างต่อเนื่อง โดยโทษว่ายูเครนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แม้ประชาคมโลกจะเรียกร้องให้รัสเซียยุติแผนดังกล่าวซึ่งไม่ต่างจากการใช้ความลำบากและชีวิตของประชาชนที่ต้องประสบภัยหนาวมาเป็นข้อต่อรองให้ยูเครนยอมศิโรราบยกดินแดนให้รัสเซีย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน