เปิดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อย กับเจ้าซูซูกิ เออร์ติก้า สมาร์ต ไฮบริด ซึ่งทำให้กลายเป็นรถยนต์ MPV ครอสโอเวอร์ ไฮบริด คันแรกของบ้านเรา
เพื่อพิสูจน์สมรรถนะ ทีมงานซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย นำโดย วัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร จัดทริปทดสอบกันที่ จ.เชียงใหม่
มาดูกันว่ามีอะไรใหม่บ้าง กระจังหน้าใหม่ ดุดันมากขึ้น ไฟหน้าโปรเจ็กเตอร์ เปิด-ปิดอัตโนมัติ กระจกมองข้างพับ-กางอัตโนมัติ ไฟท้าย LED แบบ Light Guides
ติดตั้งระบบ Guide Me Light มี 2 ฟังก์ชันคือ To home ไฟหน้าจะยังคงติดอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อกดรีโมตล็อกรถ และ To car ไฟหน้าจะติดขึ้นเมื่อกดรีโมต เปิดรถ
ภายในปรับสีเบาะนั่งให้สว่างขึ้น ลายไม้จากเดิมเป็นสีน้ำตาล เปลี่ยนเป็นสีชาร์โคล หรูหรามีระดับ หน้าจอกลางระบบสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว รองรับความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ รวมถึงภาพจากกล้องหลังขณะถอยรถ มีระบบชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย
หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่สี MID ขนาด 4.2 นิ้ว คมชัด บอกสถานะการทำงานต่างๆ พร้อมแสดงการทำงานของระบบไฮบริด
ช่องแอร์สำหรับเบาะนั่งแถว 2 และแถว 3 อยู่ที่เพดาน ปรับแรงลมได้ 3 ระดับ ลองเข้าไปนั่งที่เบาะแถว 3 ได้ง่ายๆ ด้วยการเลื่อนเบาะแถว 2 ให้มาสุดด้านหน้า พร้อมพับพนักพิงด้วยปุ่มเดียว
เบาะนั่งแถว 3 มีพื้นที่วางขาอยู่พอประมาณ ปรับเอนหลังได้อีกเล็กน้อย แต่เข่าค่อนข้างชัน ถ้าไปไม่ไกลพอไหวอยู่ ดูจะเหมาะกับ คนเอวบางร่างน้อยมากกว่า เบาะนั่งแถว 2 แถว 3 สามารถพับได้ เกือบราบ เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ
ขับกันระยะทางสั้นๆ รอบเมืองเชียงใหม่ ช่วงแรกอาสาเป็น ผู้โดยสาร นั่งเบาะแถว 2 แรงเหวี่ยงและสะเทือนมีเข้ามาบ้าง ผ่านหลุม บ่อ คอสะพาน ไม่ถึงกับหัวสั่นหัวคลอน
ขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ D-shape ท้ายตัด ให้อารมณ์รถสปอร์ต
กระจกหน้าบานใหญ่ ขณะที่ตัวรถสูง ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น กดปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ มีเสียงแทรกเข้ามาในห้องโดยสารเบาๆ
สมาร์ต ไฮบริด ของซูซูกิ เออร์ติก้า ใหม่ เป็นแบบ ISG (Integrated Starter Generator) ช่วงออกตัวครั้งแรก ใช้กำลังจากเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ล้วนๆ
ต่อเมื่อจอดแล้วเครื่องยนต์ดับลง และติดขึ้นมาใหม่ จากระบบ Idling Stop กำลังจากไฟฟ้าจึงจะเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน
กำลังที่ได้เพิ่มมาจากระบบไฟฟ้า แม้จะดูไม่ได้มากนัก 2.3 กิโลวัตต์ หรือ 3 แรงม้านิดๆ แรงบิดสูงสุด 50 นิวตัน-เมตร แต่ให้ความรู้สึกถึงความแรงในช่วงออกตัว และเร่งแซง ราบเรียบไหล่ลื่นแบบไม่ต้องแอบลุ้นให้ เหนื่อยใจ
เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เหมือนรุ่นเดิม เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างไร้รอยต่อ จังหวะคิกดาวน์ เหมือนเครื่องยนต์หยุดคิดแว้บหนึ่ง ถ้าอยากได้กำลังแบบปัจจุบันทันด่วน มีปุ่มให้กดเรียกกำลังเพิ่มที่หัวเกียร์
ขับออกนอกเมือง ทำความเร็วปลาย ไต่ไปถึง 150 ก.ม.ต่อช.ม. แบบใช้คันเร่งน้อยลง ไม่ต้องเข่นกำลังเหมือนตัวเดิม ช่วงความเร็วคงที่ กำลังมาจากเครื่องยนต์เป็นหลัก
เวลาถอนคันเร่งช่วงลงเนิน หรือเพื่อชะลอรถ ไฟฟ้าจะถูกชาร์จกลับไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ ลิเทียมไอออน ขนาด 6Ah 12V ลูกไม่ใหญ่ ซ่อนไว้ใต้เบาะนั่งด้านหน้าฝั่งผู้โดยสาร
สิ่งหนึ่งที่ผิดหูผิดตาไปจากรุ่นก่อนหน้านี้อีกอย่างคือ ความหนึบแน่นของช่วงล่าง ไม่ว่าจะเปลี่ยนเลนกะทันหัน หรือเข้าโค้งบนความเร็วสูง ไม่มีอาการท้ายบานให้ได้เห็นแม้แต่น้อย
เป็นผลมาจากการที่ซูซูกิได้นำแพลตฟอร์ม HEARTECT มาใช้กับเจ้าเออร์ติก้า สมาร์ต ไฮบริด ทำงานร่วมกับระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ
ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็กเฟอร์สัน-สตรัต หลังแบบทอร์ชั่นบีม ความนุ่มนวลมีมาให้ระดับหนึ่ง
ส่วนเรื่องประหยัด ด้วยความที่ขับระยะทางน้อย และส่วนใหญ่วิ่งนอกเมือง ตัวเลขอยู่ที่ปริ่ม 15 ก.ม.ต่อลิตร ขณะที่สเป๊กว่าไว้ที่ 17.9 ก.ม.ต่อลิตร ประหยัดกว่ารุ่นเดิม 13%
แวะไปพิสูจน์ความแรงที่เพิ่มขึ้น แต่ประหยัดมากขึ้น พร้อมกับรักษ์โลกยิ่งขึ้น ของเจ้าซูซูกิ เออร์ติก้า สมาร์ต ไฮบริด ใหม่
ที่มี 2 รุ่นย่อย GL ราคาอยู่ที่ 783,000 บาท และ GX ราคาอยู่ที่ 839,000 ที่โชว์รูม ซูซูกิ ทั่วประเทศ
กิตติพงศ์ ศรีเจริญ