ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวติดปีกสำหรับ 365 วันในปี 2022 ปีเสือที่ดูเหมือนวงการลูกหนังไทยจะมีแต่เรื่องให้ปวดหัว ให้แฟนบอลได้บ่นเสียมาก เรียกว่าแฟนบอลบ่นมากกว่าชื่นชม เรื่องเดียวที่ทำให้แฟนกีฬาลูกหนังแดนสยามยิ้มได้คือเมื่อวันที่ 1 ม.ค.2022 นั่นคือการที่ “ช้างศึก”ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ เค้นฟอร์มเยี่ยมกับการคว้าแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020” ที่สิงคโปร์

หลังจากนั้นผลงานทีมชาติไทยพูดได้ว่าทุกชุด ไม่มีทีมไหนเลยที่สร้างรอยยิ้มเต็มใบหน้าให้แฟนบอล ไล่ตั้งแต่ชุดใหญ่ หลังจากแชมป์อาเซียนแล้ว ต่อด้วยฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 48 ที่เชียงใหม่ ที่เหมือนจะเป็นงานง่ายเพราะนัดแรกเจอ “เสือเหลือง”มาเลเซีย แต่ “ช้างศึก” จบด้วยการไล่ตีเสมอ และแพ้จุดโทษพลาดเข้าลุ้นแชมป์แห่งศักดิ์ศรีในบ้านตัวเอง แม้จะชนะตรินิแดด แอนด์ โตเบโก คว้าอันดับสาม แต่การไม่ได้ เข้าชิงชนะเลิศจึงถือว่าเป็นความ “ล้มเหลว”

ต่อด้วยฟุตบอลชายรุ่นไม่เกิน 23 ปีในซีเกมส์ ที่เวียดนาม ถึงขนาดเอา มาโน โพลกิง หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชุดใหญ่ลงไปคุมทัพด้วยตัวเองแท้ๆ แถมยังใช้นักเตะโควตาอายุเกินครบ 3 คน แต่สุดท้ายกลับแพ้ให้ทัพ “ดาวทอง”เวียดนาม จบเพียงเหรียญเงิน ขณะที่ชิงแชมป์เอเชีย รอบสุดท้าย ทีมไม่เกิน 23 ปีชายไทย ทำได้เพียง 4 แต้มกระเด็นตกรอบแรก

ส่วนฟุตบอลหญิงไม่ต้องพูดการที่จะแพ้ให้กับฟิลิปปินส์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ในศึกชิงแชมป์เอเชีย รอบสุดท้าย ที่อินเดีย โอกาสได้สิทธิ์ฟุตบอลโลก 3 ครั้งติดต่อกันส่อแววริบหรี่ ขณะที่มหกรรมซีเกมส์แม้ว่าจะผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศแต่จบด้วยการแพ้สาวเวียดนามเช่นเดียวกับทีมชาย

ขณะที่สมาคมลูกหนังยังมีเรื่องให้วิจารณ์ไม่หยุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางการบริหารทีมชาติไทย ดูเหมือนจะไม่มีแบบแผนตายตัวการไม่ได้เหรียญทองในซีเกมส์ส่งผลกระทบดังคลื่นลูกใหญ่ถาโถมเมื่อผู้มีอำนาจในรัฐบาลถึงกับหลุดปากบอกว่าหากปีนี้ (2023) ไม่ได้เหรียญทองในซีเกมส์ที่กัมพูชาผู้บริหารสมาคมที่นำโดย “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมต้องรับผิดชอบ แม้การพูดดังกล่าวจะไม่มีอำนาจสั่งปลดผู้บริหารสมาคมโดยตรง แต่เหมือนโดนฟาดด้วยค้อนขนาดใหญ่

สมาคมลูกหนังสั่งประชุมด่วนถึงขนาดมีการประกาศเลื่อนฟุตบอลอาชีพจบเร็วขึ้นเพื่อจะได้มีเวลาเตรียมทีมซีเกมส์ แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือจริงๆ ดันมีกระแสต่อต้านอย่างนักจากสโมสรสมาชิกทำให้ท้ายที่สุดต้องเปลี่ยนให้ยึดโปรแกรมเดิมของฟุตบอลลีก แสดงให้เห็นถึงความไม่มีศักยภาพและไม่มีความชัดเจนของการบริหารสมาคม

ก่อนหน้านี้สมาคมลูกหนังไทยได้มีการชูนโยบายไทยแลนด์เวย์ ตามแผนพัฒนาฟุตบอล 20 ปี มีการกำหนดแนวทางว่าปี 2024 จะต้องเข้ารอบสุดท้ายโอลิมปิกเกมส์ จากนั้นปี 2028 ต้องขึ้นไปติดท็อป 3 ของเอเชีย รวมถึงการเข้ารอบ 8 ทีมโอลิมปิก แต่เมื่อมองตามความเป็นจริงกลับไม่มีการปฏิบัติที่ชัดเจนอะไรเลยในการพัฒนา

ถึงขนาดเปิดให้สโมสรสมาชิกเข้ามาร่วมพัฒนา จนเป็นที่มาของการลงนามบันทึกข้อตกลงกับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในการตั้ง ชนน์ชนก ชิดชอบ ลูกชายของ “บิ๊กเน”เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มานั่งตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติไทย รุ่นไม่เกิน 20 ปี โดยทีมชุดนี้มีแนวทางคือการคัดนักเตะทั่วประเทศ และเข้าแคมป์ฝึกซ้อมร่วมกัน กิน นอน ด้วยกันที่ แคมป์บุรีรัมย์ ถ้าให้เห็นภาพชัดนี่คือแบบเดียวกับทีมชาติไทยชุด “ดรีมทีม” เมื่อสมัยก่อน ซึ่งมีคำถามมาตลอดว่าถ้ามีนักเตะฝีเท้าดีกว่าเด็กในแคมป์นี้จะมีโอกาสติดทีมชาติไหม เด็กในแคมป์จะเล่นฟุตบอลอาชีพได้หรือไม่ ถ้าเล่นได้จะสังกัดสโมสรใด แค่คิดง่ายๆ แบบนี้ เล่นเอาปวดหัวไม่น้อยเหมือนกัน

อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดกับสมาคมฟุตบอลไทย นั่นคือการแพ้คดีความให้กับสโมสรสมาชิก โดยอีสาน ยูไนเต็ด ฟ้องสมาคมบอลมาร่วม 10 ปีจากการโดนแย่งสิทธิ์ทำทีมกับศรีสะเกษ เอฟซี สุดท้ายศาลปกครองบอกว่าสมาคมผิดต้องชดเชยเงินให้กับอีสาน ร่วม 32 ล้านบาท แม้จะจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าเรื่องไม่จบง่ายๆ เพราะมีการพูดถึงสิทธิ์ในการเล่นลีกสูงสุดที่อีสานสมควรได้กลับมาด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มีข่าวการร้องเรียน ฟ้องร้องกันตามมาไม่จบสิ้น

แม้ว่าจะเป็นปีที่ดูไม่ดีเท่าไหร่ในภาพรวมของฟุตบอลไทย แต่มีสิ่งที่น่ายินดีให้ได้ชื่นใจเหมือนกัน นั่นคือการที่คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ทีมในเจลีก ญี่ปุ่น ตัดสินใจซื้อขาด “เช็ค”สุภโชค สารชาติ จากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไปร่วมทีมด้วยสัญญา 5 ปี ดังนั้นในปี 2023 จะมีนักเตะไทยอย่างน้อย 2 คนเล่นในลีกอาชีพสูงสุดของลีกที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในทวีปเอเชียให้คนไทยได้ติดตามเชียร์กัน ส่วนบอลอาชีพของไทยถือว่าเป็นอีกปีที่ยังคาดเดาไม่ออกว่าสุดท้ายแล้วสโมสรใดจะได้เฮ เพราะต้องลุ้นกันข้ามปี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน