แม้พยายามออกข่าวมาตลอดว่า สัมพันธ์ 3 ป.ไม่มีวันจืดจาง รักกันไปตลอดกาลอย่างแน่นอน ส่วนที่แยกไปอยู่กันคนละพรรค ก็อ้างว่า เป็นแผนลับลวงพราง แยกกันเดิน แต่สุดท้ายรวมกันตี เอาเข้าจริงๆ ข้อเท็จจริงที่เริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆ บ่งบอกว่า แยกกันเดินแล้วต่างคนก็ต่างเดินมากกว่า
เผลอๆ ก็หันมาตีกันอีกด้วย
อันที่จริงจุดเริ่มต้นที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องออกจากพลังประชารัฐ ไปอยู่รวมไทยสร้างชาตินั้น
ก็เพราะตกลงกันไม่ได้ระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในตำแหน่งหัวหน้าพรรค
จากนั้นเมื่อพล.อ.ประยุทธ์ย้ายไปอยู่พรรคใหม่ ก็กลายเป็นคู่แข่งกันโดยปริยาย เพราะต่างเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของคนละพรรค
จนเกิดจดหมายเปิดใจจากพล.อ.ประวิตร ซึ่งเอาเข้าจริงๆ สั่นสะเทือนความสัมพันธ์ไม่น้อย!
คราวนี้ก็เลยต้องหลบหน้ากัน ไม่เข้าประชุมครม.
ลามไปถึงการเปิดนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของพล.อ.ประวิตรและพลังประชารัฐ เพิ่มเงินบัตรสวัสดิการ แห่งรัฐเป็น 700 บาท
Advertisement
บรรดาคนใกล้ชิดพล.อ.ประยุทธ์ออกมาช่วงชิงความเป็นเจ้าของนโยบายบัตรคนจนทันที อ้างว่าเป็นไอเดียของนายกฯ!!
ฝ่ายคนใกล้ชิดพล.อ.ประวิตรก็โต้กลับทันควัน ว่าเป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของพลังประชารัฐหนที่แล้ว คิดตั้งแต่ตอนหาเสียง
ทวงบุญคุณกลับด้วยว่า เพราะการหาเสียงและนโยบายของพลังประชารัฐนั่นเอง ที่ส่งให้พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ มิใช่หรือ!?
มีการวิเคราะห์กันตั้งแต่เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ย้ายไปรวมไทยสร้างชาติแล้วว่า มีแต่ผลเสียต่อทั้งสองพรรคมากกว่า
เป็นไปไม่ได้เลยที่มองว่าเป็นลับลวงพราง
เพราะการแตก 2 พรรค ต้องเห็นโอกาสและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น
แต่นี่มองไม่ออกเลยว่า แยกแล้วจะใหญ่ขึ้นได้อย่างไร มีแต่จะทำให้ 2 พรรคเล็กลง!
เพราะแกนนำเคยเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน เครือข่ายอำนาจเดียวกัน นโยบายเดียวกัน ฐานมวลชนก็กลุ่มเดียวกัน
เมื่อแยกออกไปเป็น 2 พรรค ก็กลายเป็นแบ่งกันไปคนละครึ่งเสียมากกว่า
เพียงแต่ ประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพของพลังประชารัฐอาจจะแน่นกว่า น่าจะไปได้ดีกว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า
แม้แต่เสียง 250 ส.ว. ที่ยังสามารถร่วมโหวตตั้งนายกฯ ได้นั้น
จากนี้ไปก็ต้องแตกออกเป็น 2 ขั้ว โดยขั้วบิ๊กป้อมน่าจะมีมากกว่า เพราะเป็นคนลงวางฐานการเมืองด้วยตัวเอง
4 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ พิเศษ ลอยตัว คราวนี้ก็เลยต้องมาเริ่มเรียนรู้ใหม่หลายเรื่อง!
