เป็นอีก 1 คดีที่ถูกมองว่าเป็นบทพิสูจน์ว่ากระบวนการทางกฎหมายบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันหรือไม่

สำหรับกรณีอุบัติเหตุบนทางด่วน ที่ ผู้ขับขี่รถหรูเบนท์ลีย์ ก่อเหตุพุ่งชนรถยนต์ปาเจโร่ จนเกิดพลิกคว่ำชนกับรถกู้ภัย อีก 1 คัน

เนื่องจากหลังก่อเหตุเกิดข้อสงสัย หลายประการ ไม่ว่าชายคนขับเจ้าของ รถหรู ที่พยายามออกจากที่เกิดเหตุ การแอบอ้างการเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้ามาช่วยเหลือ

ตลอดจนการไม่เป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ เนื่องจากเจ็บหน้าอก จนเกิดการตั้งคำถามถึงมาตรฐานการดำเนินการของเจ้าหน้าที่

ท่ามกลางแรงกดดัน แม้ผลตรวจเลือดจะพบว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะน้อยกว่าเกณฑ์ที่จะแจ้งข้อหาเมาแล้วขับ แต่ตำรวจก็ตัดสินใจแจ้ง โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะการหลีกเลี่ยงไม่เป่า ย่อมต้องสันนิษฐานไว้ก่อน

ขณะที่ดำเนินคดีเพิ่มหลังพบสารเสพติดภายในเลือด

ถือเป็นคดีที่ถูกจับตาว่าจะมีบทสรุปอย่างไร








Advertisement

■ จับตาคดีเสี่ยซิ่งเบนท์ลีย์

อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 00.30 น. ของวันที่ 8 ม.ค. โดยเจ้าหน้าที่สน.ทางด่วน รับแจ้งอุบัติเหตุรถชนกัน บนทางด่วนพิเศษเฉลิมมหานคร ขึ้นจากทางถนนสุขสวัสดิ์ มุ่งหน้าดินแดง โดยภาพวงจรปิดจากกล้องหน้ารถ จับภาพ รถยนต์หรูเบนท์ลีย์ สีบรอนซ์ ทะเบียน 7กค 3822 กทม. ขับมาด้วยความเร็ว ก่อนแซงซ้ายพุ่งชนท้ายรถมิตซูบิชิ ปาเจโร่ สีดำ ป้ายแดง ทะเบียน ฌ 3830 กทม. ที่วิ่งอยู่เลนกลาง

ส่งผลให้รถมิตซูบิชิเสียหลักหมุนชนขอบทางพลิกคว่ำในช่องจราจรขวาสุด ทำให้รถดับเพลิงของอปพร. เขตบางรัก ที่กำลังไปปฏิบัติภารกิจดับเพลิงลุกไหม้ย่านอุดมสุขชนซ้ำ จนรถ พังยับเยินทั้ง 3 คัน เหตุเกิดบริเวณ ก.ม.21+200B ขาออก แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม.

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 4 คน ประกอบด้วย น.ส.ธนานิษฐ์ จิตรเสรีพงศ์ อายุ 29 ปี มากับ ด.ช.ปัณณรุจน์ จิตรเสรีพงศ์ อายุ 4 ขวบ นั่งในรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร่ และ นายสมรัก รีรักษ์ อายุ 59 ปี นายรังสรรค์ สุลัยมาน อายุ 42 ปี เจ้าหน้าที่ดับเพลิง

แต่แทนที่เรื่องราวจะจบด้วยการเป็นอุบัติเหตุธรรมดา กลับลุกลามบานปลาย เมื่อโลกออนไลน์เผยแพร่คลิปขณะที่ ชายคนดังกล่าวเดินลงทางด่วน พร้อมเรียกแท็กซี่ จนทำให้กู้ภัยต้องตามเข้าไปล้อมรถ แล้วส่งตัวไปยังสน.ทางด่วน

โดยนายอิทธิพล ประสงค์ทรัพย์ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัย มิสยิดฮารูณ อปพร. เขตบางรัก ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุมีรถคันหนึ่งวิ่งตามมา แล้วตบซ้าย ขับรูดซ้าย แล้วหักเข้าเลนขวาเพื่อจะปาดหน้าคันของเรา แต่ไม่พ้น ไปชนกับปาเจโร่ก่อน จากนั้นผู้ก่อเหตุก็ไม่ได้มาช่วยเหลืออะไร ยืนอยู่ริมฟุตปาธ จากนั้นก็เดินลงไปจากทางด่วนแล้วพยายามขึ้นแท็กซี่ออกจาก ที่เกิดเหตุ มีกู้ภัยกลัวว่าเขาจะหนี และคิดว่าเขาอาจจะเมา เลยตามไปถ่ายคลิปและพาตัวไปที่สน.ทางด่วน

นอกจากนี้ ยังมีรายงานระบุว่าขณะอยู่ที่สน. ชายคนดังกล่าวดื่มน้ำ เคี้ยวหมากฝรั่งตลอดเวลา ลุกเข้าห้องน้ำ และมีช่วงหนึ่ง จะออกจากสน.ไป โดยมีคนอ้างว่าเป็น อดีตอธิบดีดีเอสไอเข้ามาเจรจาช่วยเหลือ

เมื่อตรวจสอบก็พบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสุทัศน์ สิวาภิรมย์รัตน์ นักธุรกิจซื้อขายที่ดิน และทำตลาดสดและขายวัสดุก่อสร้าง แถมยังเป็นน้องชายของ ดร.มนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ คนปัจจุบัน และเคยบริจาคให้พรรคเศรษฐกิจใหม่ด้วย

ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ส่งนายสุทัศน์ ไปตรวจเลือดเพื่อดูผลแอลกอฮอล์ที่ โรงพยาบาลตำรวจ

ทำให้เกิดข้อกังขาว่าด้วยระยะเวลาที่เนิ่นนาน จะมีผลต่อปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดหรือไม่ แล้วทำไมไม่เหมือนกับ คดีอื่นๆ ที่เจ้าหน้าที่ไม่ยินยอมให้หลีกเลี่ยงการเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์

เป็นคำถามและตามมาด้วยการจับตาของสังคม!!

■ เปิดใจยันไม่เมา-เร่งเยียวยา

ขณะที่นายสุทัศน์ หรือเสี่ยเบนท์ลีย์ เปิดใจว่า ปกติเป็นคน ไม่ดื่มอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นโรคกระเพาะและกรดไหลย้อน ทำให้ดื่มเครื่องดื่มที่อัดแก๊สไม่ได้ โดยในวันนั้นในโต๊ะอาหารก็ดื่มกัน มีสปาร์กกลิ้งและแชมเปญ แต่ก็ยอมรับว่าดื่มไป 1-2 แก้ว แต่เพียงแก้วเล็กๆ เป็นพิธีเท่านั้น

ส่วนขวดไวน์ที่เจอในรถหรูหลังเกิดเหตุนั้นไม่ใช่เป็นขวดที่ดื่มในวันนั้น แต่ก่อนหน้านี้ไปกับเพื่อน 4 คน โดยแฟนเพื่อนอยากได้ขวดไวน์นี้ เพราะเป็นไวน์นำเข้าจากต่างประเทศ และเป็นขวดไวน์เปล่า โดยเพื่อนเป็นคนเอามาและลืมทิ้งไว้บนรถของตัวเอง ยืนยันวันนั้นไม่ได้ดื่มไวน์ด้วย โดยวันเกิดเหตุดื่มแชมเปญ 1 ขวดและดื่มกัน 4 คน ส่วนตัวดื่มไปเพียง 1-2 แก้ว และแก้วเล็กๆ

ยืนยันไม่ได้ปฏิเสธการเป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ แต่วันเกิดเหตุมีกู้ภัย 30-40 คน และทุกคนเถียงกันไม่จบ ทำให้คิดว่าตัวเอง ก็เจ็บ เจ็บหน้าอกมากและหายใจติดขัด อีกทั้งผู้หญิงที่มาด้วย เพิ่งไปทำจมูกมาและมีเลือดไหล จึงคิดว่ารถยังอยู่บนทางด่วน และใบขับขี่ก็ให้ไปตั้งแต่หลังเกิดเหตุแล้ว แต่ยังไม่ทำอะไรสักที จึงคิดว่าขอไปโรงพยาบาลก่อนใกล้ๆ และจะกลับมา ยืนยัน ไม่ได้หนี

ส่วนภาพการเคี้ยวหมากฝรั่งนั้น เพราะลดอาการอยากบุหรี่ โดยพยายามเลิกอยู่ ตอนนั้นเครียดและอยากสูบบุหรี่มาก

“ความจริงเป็นอุบัติเหตุธรรมดา ถ้าผมขับแท็กซี่ ขับรถธรรมดาก็คงไม่มีอะไร เป็นรถหรูผิดด้วยหรือ อุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แล้วผมถามว่าค่าตรวจแอลกอฮอล์จาก ลมหายใจยังไม่ชัวร์ ตรวจจากเลือดชัวร์กว่า”

เป็นคำชี้แจงก่อนจะพบสารเสพติดในเลือด

ส่วนเรื่องการเยียวยานั้น คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายได้ไกล่เกลี่ย จนได้ข้อยุติ โดยนายสุทัศน์ยินยอมชดใช้ค่าสินไหมให้กับ นายศราวุธ รีรักษ์ ดูแลร่างกาย อนามัย และจิตใจ 29,767 บาท น.ส.ณิชชาวีณ์ ชาติสุริยพัฒน์ 30,419 บาท นางวรพรรณ รีรักษ์ ดูแลร่างกาย อนามัย และจิตใจ 65,820 บาท

นายสมรัก รีรักษ์ ดูแลร่างกาย อนามัย และจิตใจ 570,000 บาท น.ส.ธนานิษฐ์ จิตรเสรีพงศ์ ดูแลร่างกาย อนามัย และจิตใจ 127,976 บาท และด.ช.วัย 4 ขวบ ดูแลร่างกาย อนามัย และจิตใจ 22,034 บาท

ชดใช้ทรัพย์สินอีก 374,900 บาท รวมกว่า 1,220,916 บาท ตลอดจนเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อเป็นชื่อคู่กรณี และให้คู่กรณี จ่ายค่าปิดงวดกับไฟแนนซ์ทั้งหมด รวมค่าเสียหายทั้งหมดกว่า 2,000,000 บาท ส่วนทางกู้ภัย ผู้ก่อเหตุยินยอมชดใช้ค่าเสียหาย 800,000 บาท

เป็นข้อตกลงเยียวยาที่ยุติแล้ว เหลือเพียงแค่คดีว่าจะจบอย่างไร

■ ฟันเมาขับ-สั่งสอบเหตุไม่เป่า

ด้านการตรวจปริมาณแอลกอฮอล์นั้น พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผบช.น. ดูแลงานจราจร ชี้แจงว่า ผู้ก่อเหตุยอมให้ตรวจเลือด ส่วนเรื่องเป่าแอลกอฮอล์นั้น คนขับได้รับบาดเจ็บที่หน้าอก ทำให้แรงลมในการเป่าไม่พอ เครื่องวัดไม่เสถียร พนักงานสอบสวนจึงใช้วิธีตรวจเลือดแทน พร้อมระบุว่าแม้กฎหมายจะระบุว่ากรณีไม่ยอมตรวจวัดแอลกอฮอล์ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้ขับขี่ในขณะเมาสุรา แต่กรณีนี้นายสุทัศน์ยินยอมให้ ตรวจเลือดแล้ว

ขณะที่ผู้รู้ทางวิทยาศาสตร์ ต่างระบุว่าแรงลมในการเป่าไม่มีผลต่อปริมาณแอลกอฮอล์ที่วัดได้

จึงเป็นคำชี้แจงที่สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าในอนาคตอาจจะอ้างการเจ็บหน้าอก เพื่อไม่ต้องเป่าหาปริมาณแอลกอฮอล์ได้!!!

ต่อจากนั้นเมื่อค่ำวันที่ 10 ม.ค. ผลเลือดของนายสุทัศน์ก็ ออกมาว่าผลแอลกอฮอล์ในเลือดอยู่ที่ประมาณ 10 กว่ามิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เมื่อใช้ทฤษฎีคูณย้อนกลับไปหาช่วงเวลาเกิดเหตุ ก็ยังพบว่าปริมาณแอลกอฮอล์ของนายสุทัศน์จะอยู่ที่ไม่เกิน 45 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

อย่างไรก็ตาม เมื่อกระแสความสงสัยเพิ่มมากขึ้น พล.ต.ต.จิรสันต์ ก็ชี้แจงผ่านเอกสารอีกครั้งในวันที่ 11 ม.ค. ว่าจากการที่พนักงานสอบสวนรวบรวมข้อเท็จจริง และหลักฐานเพิ่มเติม จึงแจ้ง ข้อหาเพิ่มเติมกับนายสุทัศน์ ผู้ขับรถเบนท์ลีย์ ในข้อหา “ขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น และเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส, ได้รับอันตรายแก่กายและทรัพย์สินเสียหาย, ขับรถในขณะเมาสุรา (ฝ่าฝืนไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ ให้สันนิษฐานว่าเมาแล้วขับ)” และนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งศาลได้พิจารณารับฝากขังตามคำร้อง

ส่วนเรื่องที่ประชาชนสงสัยเกี่ยวกับการตรวจวัดแอลกอฮอล์ พล.ต.ต.สุวิชชา จินดาคำ ผบก.จร. สั่งตั้งกรรมการตรวจสอบ ข้อเท็จจริง มอบหมายให้พ.ต.อ.สุกิจ อรุณฤกษ์ถวิล รองผบก.จร. เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบกรณีดังกล่าว และให้รายงานผลการตรวจสอบให้ทราบภายใน 15 วัน

ไม่เพียงแค่นั้นผลการตรวจเลือดยังพบสารเมทแอมเฟตามีน และเคตามีน ซึ่งเป็นสารเสพติด เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีก 3 ข้อหาคือ 1.เสพวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (เคตามีน) โดยผิดกฎหมาย 2.เป็นผู้ขับขี่รถยนต์ เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ และเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และ 3.ขับรถโดยประมาท หรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคล หรือทรัพย์สิน

ยืนยันเร่งดำเนินคดีเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส และเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชน!!

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน