โรงงานยาสูบเล็งตั้งทีมศึกษาวางแผนธุรกิจองค์กร เผยแนวคิดเลิกขายเอง-เน้นรับจ้างผลิต หลังโดนพิษขึ้นภาษียาสูบ ซ้ำบุหรี่เถื่อนทะลัก ทำรายได้หายวับ ส่วนแบ่งการตลาดเหลือ 40%

นายภูมิจิตต์ พงษ์พันธุ์งาม ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ ส่งผลให้ราคาบุหรี่ในประเทศปรับขึ้นมาก จากเดิมบุหรี่ในประเทศราคาซองละ 51 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 60-66 บาท ส่งผลให้ผู้บริโภคหันไปสูบบุหรี่ที่เป็นนวัตกรรมทางเลือกเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีการลักลอบนำเข้าบุหรี่หนีภาษีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีราคาต่ำกว่าบุหรี่ในประเทศหลายเท่าตัว โดยโครงสร้างภาษีใหม่ จากเดิมปี 2560 ที่ ยสท. เคยมีกำไร 8,000-9,000 ล้านบาท ล่าสุดในปี 2565 เหลือ 100 ล้านบาท ส่วนแบ่งการตลาดจาก 80% เหลือ 40%

“ขณะนี้ ยสท.อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการคลัง และกรมสรรพสามิต ถึงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ควรจะเป็นอย่างไรถึงจะเหมาะสม ต้องมีการทบทวนใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้โครงสร้างภาษีเหมาะสมให้ ยสท.ยังดำรงได้อยู่ ต้องบอกว่าธุรกิจของ ยสท.เป็นการดูแลชาวไร่ใบยาสูบด้วย เพราะบุหรี่ทุกมวนรับซื้อจากชาวไร่โดยตรง”

นอกจากนี้ ยสท.อยู่ระหว่างว่าจ้างบริษัทเอกชน หรือ มหาวิทยาลัย มาทำผลการศึกษาโครงสร้างธุรกิจของ ยสท.ในลักษณะเหมือนให้หมอเขามาดูอาการว่า ยสท.กำลังป่วยอยู่ แต่ไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร เมื่อเทียบกับบริษัทเอกชนที่มีการทบทวนแผนธุรกิจทุกปี แต่ ยสท.ไม่เคยมีการทบทวนเลยกว่า 80 ปี จึงต้องมีผลการศึกษาความเหมาะสมกับการทำธุรกิจในปัจจุบัน คาดว่าได้ข้อสรุปใน 3-4 เดือน

นายภูมิจิตต์กล่าวว่า ยสท.ต้องกลับมาทบทวน เพราะ ยุคนี้เปลี่ยนไปเร็วมาก ยสท.อาจจะไม่เหมาะกับการขายบุหรี่ อาจถนัดผลิตอย่างเดียว ดังนั้น จำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้าง ตั้งบริษัทลูก หรือเป็นบริษัทสัมปทาน มีการ แบ่งปันผลประโยชน์ หรือในรูปแบบการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือไม่ คงต้องรอผลการศึกษาเพื่อให้การผลิตจำหน่ายเป็นผลดีมากที่สุด

ทั้งนี้ ยอมรับว่าจากระเบียบ ข้อกฎหมายต่างๆ ทำให้ ยสท.แข่งขันกับเอกชนได้ยาก ไม่คล่องตัว ผู้ค้าบุหรี่เอกชนมีเครดิตเทอม มีค่าคอมมิสชั่นให้พนักงานขายสามารถวางแผนการทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสิ่งที่ ยสท.ไม่สามารถทำได้

นายภูมิจิตต์กล่าวว่า ผลดำเนินงาน ยสท.ล่าสุดดีกว่า ที่คาด โดยปี 2565 มีผลกำไรสุทธิ 120 ล้านบาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน