Worldwide Developers Conference ที่ค่ายแอปเปิ้ลจัดขึ้นแสดงสินค้าใหม่ทุกปีที่ แอปเปิ้ล พาร์ก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา มาถึงปีนี้สร้างความ ฮือฮาเป็นพิเศษ

หลังการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “แว่นหลอมมิติ” ที่ผสานทั้งเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) เข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว

เปิดประตูเทรนด์ใหม่แห่งอนาคตที่จะมาแทนที่สมาร์ตโฟน โดยแว่นตาดังกล่าวนอกจากมีดีไซน์ที่สวยงามน่าใช้แล้ว เทคโนโลยียังมีความสมบูรณ์อย่างเหลือเชื่ออีกด้วย

แอปเปิ้ลระบุว่า Apple Vision Pro คือ Spatial Computer สำหรับการประมวลผลเชิงพื้นที่ระดับปฏิวัติวงการที่ล้ำหน้าไปไกลและแตกต่างจากทุกอย่างที่เคยสร้างมา

ด้วยการทำงานที่ขยายข้ามขอบเขตของจอภาพแบบเดิมโดยอาศัยอินเตอร์เฟซที่มีความเป็น 3 มิติในทุกๆ ส่วน และควบคุมด้วยวิธีป้อนคำสั่งที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด นั่นคือดวงตา มือ และเสียงของผู้ใช้

พร้อมกันนี้ ยังมี visionOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการเชิงพื้นที่ระบบแรกของโลก

ช่วยให้ผู้ใช้ Vision Pro สามารถโต้ตอบกับคอนเทนต์ดิจิตอลในแบบที่ให้ความรู้สึกราวกับว่ามีสิ่งนั้นอยู่ในพื้นที่ของผู้ใช้จริงๆ

นายทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิ้ล กล่าวว่า การเปิดตัวแว่นตา Apple Vision Pro ถือเป็นการมาถึงของยุคใหม่ของคอมพิวเตอร์

เช่นเดียวกันกับที่หลายผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลเคยปฏิวัติวงการมาแล้วหลายครั้งในอดีต ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ Macintosh ที่เปิดศักราชคอนเซ็ปต์เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว (PC) และ iPhone ที่จุดระเบิดกระแสความนิยมสมาร์ตโฟน

แว่นตา Apple Vision Pro เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่จะเปิดประสบการณ์การใช้งานรูปแบบใหม่ถอดด้ามให้กับ ผู้ใช้ ตั้งแต่การใช้งานคอมพิวเตอร์ตามปกติไปจนถึงความบันเทิงดิจิตอลทุกรูปแบบ

รวมถึงการติดต่อสื่อสารกันหลากรูปแบบจากในสมาร์ตโฟนผ่านเทคโนโลยี AR และ VR

เทคโนโลยี AR เป็นเทคโนโลยีการสร้างภาพจำลองขึ้นในสภาพแวดล้อมจริง ซึ่งหลายค่ายเคยพยายามทำมาก่อนในแว่นหลอมมิติ แต่ยังเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง หรือไม่ได้รับความนิยม อาทิ Google Glass และ Microsoft Hololens ผู้ใช้จะสามารถเห็นกราฟิกที่เติมแต่งเข้าไปในสภาพแวดล้อมจริงที่อยู่รอบตัว

ส่วนเทคโนโลยี VR นั้นเป็นเทคโนโลยีการสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ขึ้นแทนที่สภาพแวดล้อมจริง

โดยเทคโนโลยีนี้มีมานานหลายสิบปี แต่เพิ่งกลายเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และได้รับความนิยมมากขึ้นตามลำดับเนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการผลิต

แต่กลุ่มผลิตภัณฑ์แว่น VR หรือแว่นทะลุมิตินั้นยังเน้นหนักไปในด้านความบันเทิง อาทิ Oculus Rift จากค่าย Meta ไปจนถึงแว่น VIVE จากค่าย HTC แว่น Playstation VR จากค่าย Sony และ Gear VR จากค่าย Samsung

การทดสอบใช้งานเบื้องต้นพบว่า หน้าจอ OLED ความละเอียดระดับ 4K จำนวน 2 จอภาพที่อยู่บริเวณดวงตาของผู้สวมใส่นั้นให้ภาพที่คมชัดได้อย่างน่าตกใจ

ผู้สวมใส่สามารถควบคุมและปฏิสัมพันธ์กับกราฟิก AR ที่แสดงผสมอยู่กับสภาพแวดล้อมจริงได้ด้วยดวงตาผ่านการจ้องมองและใช้มือควบคุม

โดยแว่นจะทำงานสอดประสานกันระหว่างดวงตาและมือ ผ่านเซ็นเซอร์ที่มีอยู่ภายในแว่นและด้านนอกของแว่น ให้ประสบการณ์การใช้งานที่แปลกใหม่น่าตื่นตาตื่นใจมาก

กราฟิก AR ที่แสดงขึ้นยังมีความสมจริง กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมจริง เช่น การชมภาพยนตร์ที่จำลองขึ้นมาเป็นโทรทัศน์จอใหญ่ได้ตามต้องการ มีเงาของจอภาพตกกระทบกับสภาพแวดล้อมจริงโดยอาศัยแสงในสภาพแวดล้อมจริงด้วย

การออกแบบภายนอกของแว่นก็มีความสวยงาม แลดูพรีเมียมอย่างมาก โดยแว่นตาด้านนอกจะมีจอภาพ OLED อีกจอหนึ่งที่จะแสดงสถานะให้ผู้อื่นทราบว่ากำลังใช้งาน

หรือหากหยุดใช้งานก็จะแสดงภาพใบหน้าและนัยน์ตาของผู้ใช้ขึ้นมาแทนที่ เพื่อให้การปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น

เป็นการออกแบบที่น่าทึ่งมากในรายละเอียด

อย่างไรก็ดี แว่น Apple Vision Pro นั้นค่อนข้างหนัก แม้จะทำงานด้วยระบบไร้สายแต่ทางแอปเปิ้ลแยกแบตเตอรี่ออกมาไว้พกพา (เป็นกล่องเล็กๆ เหมือน power bank) ซึ่งต้องต่อสายเคเบิลขึ้นไปแปะติดไว้กับแว่น

ข้อดีก็คือ ทำให้เปลี่ยนง่ายและลดน้ำหนักของแว่นลง โดยแบตฯ 1 ก้อนจะใช้งานได้ประมาณ 2 ชั่วโมง (ถ้าไม่เมื่อยคอเสียก่อน)

ส่วนราคานั้นต้องบอกไว้ก่อนว่าแรงมาก สนนราคาที่ 3,499 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 120,000 บาท จนถูกผู้เชี่ยวชาญแซวกันว่าเป็นของเล่นคนรวย

สำหรับสัปดาห์หน้าทางทีมข่าวสดไอที จะนำผลิตภัณฑ์และบริการอื่นที่ทางแอปเปิ้ลเปิดตัวมาให้ชมกัน

สาวกแอปเปิ้ลห้ามพลาด…

ทีมข่าวสดไอที

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน