สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเผย ข้าวสารขายส่งราคาพุ่งตันละ 500 บาท หลังอินเดียห้ามส่งออก-เอกชน คาดราคาอาจพุ่งอีก ลุ้นส่งออกปีนี้ทะลุเป้า 9 ล้านตัน
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคม ผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยถึงกรณีที่เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2566 รัฐบาลอินเดียประกาศห้ามการส่งออกข้าวทุกสายพันธุ์ ยกเว้นข้าวพันธุ์บาสมาติว่า อินเดียสั่งระงับส่งออกข้าว ไปต่างประเทศเนื่องจากปัญหาเอลนีโญและน้ำท่วม ทำให้จนผลผลิตเสียหายอย่างหนัก ซึ่งผลจากมาตรการ ดังกล่าวทำให้ในระยะสั้นราคาข้าวในประเทศเริ่มมีการขยับราคาเพิ่มขึ้นแล้ว
โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 21 ก.ค. ที่ผ่านมา โรงสีข้าว ในประเทศไทยได้ประกาศปรับขึ้นราคาจำหน่ายส่งข้าวสาร 5% อีกตันละ 500 บาท โดยปรับราคาจากตันละ 17,500 บาท เป็นตันละ 18,000 บาท หรือปรับเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 50 สตางค์ นอกจากนี้ โรงสียังมีการจำกัดปริมาณการซื้อข้าวอีกด้วย ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ราคาขายปลีกข้าวสาร 5% ในประเทศปรับราคาเพิ่มขึ้นด้วยเป็นตันละ 19,000 บาท หรือปรับเพิ่มขึ้นเป็น ก.ก.ละ 19 บาท
ทั้งนี้ แม้ว่าอินเดียจะประกาศห้ามส่งออกข้าว แต่ก็ยังเปิดช่องไว้ว่าจะยังส่งออกให้กับคู่ค้าที่มีร้องขอนำเข้าข้าวเพื่อนำไปใช้ในการสำรองอาหาร ทำให้ขณะนี้ตลาดข้าวโลกเริ่มมีความไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าอินเดียจะส่งออกหรือไม่ส่งออกข้าว ล่าสุด ลูกค้าข้าวไทยหยุดซื้อข้าวแล้ว ขณะที่ผู้ส่งออกไทยก็ชะลอรับออร์เดอร์ เพราะราคาเริ่มแพง ไม่รู้จะโค้ดราคาซื้อขายที่เท่าไหร่จึงจะเหมาะสม คงต้องหยุดรอดูความชัดเจนนโยบายของอินเดียไปก่อน คาดว่าในระยะสั้น ช่วง 1-2 เดือนต่อจากนี้ การค้าและส่งออกข้าวของไทยอาจจะชะงักและมีปริมาณลดลง
“หากรัฐบาลอินเดียออกมาให้ความชัดเจนเรื่องนโยบายการส่งออกข้าวเพิ่มเติม โดยประกาศห้ามส่งออกข้าวไปจนถึงสิ้นปี ในระยะยาวจะส่งผลดีต่อตลาด การส่งออกข้าวไทยแน่นอน ไทยจะส่งออกข้าวได้มากขึ้น แม้ว่าจะมีราคาแพง เพราะเวียดนามซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญเหลือข้าวในการส่งออกช่วงครึ่งปีหลังจำนวนไม่มาก โดยปริมาณการส่งออกข้าวไทยปีนี้อาจจะขยับเพิ่มจาก เป้า 8 ล้านตัน เป็น 9 ล้านตัน
ส่วนราคาข้าวต้องปรับเพิ่มขึ้นแน่นอน อาจจะเห็นราคาส่งออกข้าวสารขาว 5% ขยับขึ้นอีกตันละ 50 เหรียญสหรัฐ คือปรับจากตันละ 550 เหรียญสหรัฐ เป็นตันละ 600 เหรียญสหรัฐ หรือปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 10% หรือ ปรับเพิ่มขึ้นตันละ 1,700 บาท แต่ทั้งนี้ต้องรอดู ความรุนแรงของเอลนีโญด้วย หากรุนแรงก็จะดันราคา ขึ้นไปสูงกว่านี้”