ได้รับภารกิจลัดฟ้าไปศึกษาดูงาน “เทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไฟฟ้า” กับคณะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

บินจากสนามบินสุวรรณภูมิ ใช้เวลา 8 ชั่วโมงเศษทัชดาวน์ถึงสนามบินเมลเบิร์น ในช่วงต้นเดือนส.ค.แบบนี้ถือเป็นช่วงปลายหนาวของประเทศออสเตรเลีย อุณหภูมิแรกสัมผัส 8-10 องศา ในระดับเย็นจับใจ

ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ไปสัมผัสเมืองเมลเบิร์น ที่ได้รับการการันตีจากอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (Economist Intelligence Unit) เมื่อปี 2565 ว่า ติดท็อปเท็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก และเป็นเมืองน่าอยู่ในอันดับที่เหนือกว่าเมืองอื่นๆ ของออสเตรเลีย ทั้งซิดนีย์ เมืองขึ้นชื่อ หรือแคนเบอร์รา เมืองหลวงสำคัญของโลก

แม้คณะศึกษาดูงานครั้งนี้จะมีเวลาให้พอไปสัมผัสเมืองเมลเบิร์นกันไม่มากสักเท่าไหร่ เพราะต้องออกจากที่พักเช้า กว่าจะกลับเข้าเมืองก็ค่ำมืด แต่ค่ำคืนของเมลเบิร์นไม่เงียบเหงา สมกับเป็นเมืองน่าอยู่อย่างที่ใครๆ ต่อใครว่าไว้ เรียกว่าเข้ามาเป็นเมืองในดวงใจแบบไม่รู้ตัวอีกเมืองหนึ่งที่เคยได้ไปสัมผัส

จุดเด่นของเมลเบิร์นคงหนีไม่พ้นบ้านเมืองที่ดูสะอาดตา เป็นมิตรและอำนวยความสะดวกต่อการใช้ชีวิตของผู้คนและนักท่องเที่ยวอย่างมาก อีกทั้งมองไปซ้ายขวามีความเด่นชัดในแง่ของ “เมืองแห่งศิลปะ” โบสถ์ วิหาร สวนสาธารณะ สะพาน แม่น้ำยาร์รา หล่อหลอมรวมกันเป็นความตื่นตาให้กับ ผู้มาเยือน เติมด้วยไฮไลต์สำคัญอย่างรถ “แทรม” (TRAM) ที่ให้บริการฟรีรอบศูนย์กลางเมือง จึงถือโอกาสขึ้นลงเป็นว่าเล่นเหมือนกัน

ส่วนที่พักแรมของคณะอาจจะเรียกว่าย่านใจกลางเมือง ถัดไปไม่ไกลจากที่พักราว 500 เมตร ได้เดินไปเยือน สวนฟิตซรอย (Fitzroy Garden) อันขึ้นชื่อของเมืองเมลเบิร์น แม้จะอยู่ในช่วงปลายหนาว แต่ต้นไม้ใหญ่ ดอกไม้ยังคงเบ่งบาน แผ่กิ่งก้านสาขามาทักทายผู้มาเยือน สวนนี้เข้าเยี่ยมชมได้ฟรี

ไฮไลต์ของสวนฟิตซรอยคือกระท่อมของกัปตันเจมส์ คุก (Cook’s Cottage) ให้อารมณ์กระท่อมในสวนเทพนิยายที่เคยเห็นในวัยเด็ก โดยหัวหน้าทัวร์เล่าให้ฟังว่า กัปตันเจมส์ คุก เป็นนักสำรวจและ นักเดินเรือชาวอังกฤษที่ค้นพบแผ่นดินออสเตรเลีย และประกาศให้ออสเตรเลียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ กระท่อมหลังนี้ยกมาจากเมืองยอร์กเชอร์ (Yorkshire) ประเทศอังกฤษเลยทีเดียว

เมื่อมาถึงเมลเบิร์นก็ไม่ควรพลาดที่จะขึ้นไปสัมผัสเส้นขอบฟ้า บน “ยูเรก้า สกายเดค” (Eureka Skydeck 88) บนชั้น 88 ความสูงกว่า 285 เมตร ของยูเรก้า ทาวเวอร์ ในใจกลางย่านเซาท์แบงก์ ที่ขนานนามว่าเป็นอาคารที่สูงสุดของซีกโลกใต้ มาถึงชั้น 88 จะพบว่ามีกระจก 360 องศา ให้เดินชมภูมิทัศน์เมืองเมลเบิร์นกันแบบจุใจ หรือจะกล้าท้าลอง มีบริการดิเอ็ดจ์ แท่นกระจกที่ยื่นออกไปนอกตัวอาคารให้ได้เสียวท้องน้อยกัน

นักท่องเที่ยวที่จะมาเยือนยูเรก้า ทาวเวอร์ แนะนำให้มาช่วงเย็นๆ มาชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เมื่อแสงอาทิตย์ทอดมาลงบนตัวอาคารที่เคลือบด้วยสีทองจะเป็นช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด ทั้งสีทองจากท้องฟ้า และภายในอาคาร จะถ่ายรูปมุมไหน ท่าไหน ก็สวยไปหมดทุกองศาแน่นอน

ถ้าเป็นสายคาเฟ่ ดื่มแชะ ดื่มชิล ต้องบอกเลยว่าเมืองเมลเบิร์น ตอบโจทย์หนักมาก อนุมานคร่าวๆ ได้ว่าทุกประชากร 10 คนจะมีร้านคาเฟ่ให้เลือกนั่งทุกหัวมุมถนน 1 ร้าน น่าเสียดายที่ทำได้เพียงแค่นั่งรถผ่านตา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหาเวลาดีๆ ไปอุดหนุนของขึ้นชื่อใจกลางเมลเบิร์นย่าน CBD อย่างร้าน Lune Croissanterie หรือร้านครัวซองต์รูปจรวด ที่คนมารอต่อแถวกันตั้งแต่ไก่โห่ เพราะครัวซองต์ที่นี่ ได้รับการขนานนามว่า “อร่อยที่สุดในโลก”

สำหรับครัวซองต์มีหลากหลายชนิดและรสชาติ แต่ราคาก็แอบ ซี้ดปากเบาๆ ไปจบที่ Almond Croissant ราคา 9.5 เหรียญ หรือชิ้นละ 220-240 บาท แต่สมราคาเพราะอัดหน้าอัลมอนด์มาแบบแน่นๆ จับเข้าปากคำแรกคือหอมเนยชัดมาก เลเยอร์ของแป้งตรงโจทย์ครัวซองต์เป๊ะ ถ้าใครมาและพอมีเวลาเข้าแถวขีดเส้นตัวหนาๆ ว่าต้องแวะมาลองกัน

วันถัดไปพอมีเวลาออกนอกเมืองไปเปิดหูเปิดตาสถานที่ขึ้นชื่อของเมลเบิร์น ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองราว 2 ชั่วโมง ไปสัมผัส ‘ขบวนรถไฟห้อยขา’ หรือ Puffing Billy Railway สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญดึงดูด นักท่องเที่ยวมาแล้วทั่วโลก

Puffing Billy Railway กินระยะทางกว่า 29 กิโลเมตร สร้างขึ้นตั้งแต่ต้นยุค ค.ศ.1900 เป็นการขยายการเดินทางสู่ย่านชานเมือง ระหว่างนั้นมีปิดตัวและฟื้นฟูกลับมา ให้บริการโดยสมบูรณ์ในปีค.ศ.1998

คณะเราเดินทางด้วยรถบัสจากเมลเบิร์นมาถึงสถานี Belgrave โดยจองตั๋วรถไฟแบบเหมาไป-กลับ ถึงสถานี Lakeside ซึ่งเป็นสถานีกลางทาง ใช้เวลาเดินทางไปกลับ 2-3 ชั่วโมง ทันทีที่เห็นหัวรถจักร ความทรงจำในวัยเด็กก็กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง ควันจากเชื้อเพลิงที่เผาไหม้ที่หัวขบวนคละคลุ้ง สัญญาณแตรดังขึ้น เป็นอันรู้ว่าเราต้องเข้าประจำที่บนขบวนแล้ว

เมื่อขึ้นไปบนโบกี้เลือกได้ว่าจะนั่งที่นั่งตามปกติซึ่งหันหน้าออกสัมผัสวิวทิวทัศน์ทุกที่นั่ง หรือถ้าจะเอาอรรถรสสุดขั้ว ก็ขึ้นไปนั่งที่ขอบหน้าต่าง แล้วห้อยขาออกไปนอกขบวนได้ ระหว่างทางจะผ่านภูเขา ไร่สวน ถนนหนทาง ป่าไม้ สามารถโบกไม้โบกมือให้กับผู้คนที่ผ่านไป และได้รับการทักทายกลับอย่างยิ้มแย้มตลอดเส้นทาง เป็นประสบการณ์ที่มีค่า น่าจดจำ ไม่รู้ลืม

วันสุดท้ายก่อนกลับไทยใช้เวลาเดินทางกว่า 6 ชั่วโมงไปสัมผัสที่สุดของทริป คือตะลุย Great Ocean Road ถนนสายเที่ยว ลัดเลาะริมหน้าผาสูงชัน อันเป็นภาพคุ้นตาของชาวโลก มีพระเอก หรือแลนด์มาร์กสำคัญที่ต้องไปเจออย่าง Twelve Apostles แท่งหินนับสิบนับร้อยที่เรียงรายตลอดแนวผา บรรจบมหาสมุทร

โดยปกตินักท่องเที่ยวทั่วไปอาจจะเช่ารถ แวะพักกันสักวันสองวัน แต่ด้วยความที่เป็นทริปแบบกะทัดรัด ทุกอย่างต้องอยู่ในเวลา คณะเราใช้บริการ “เฮลิคอปเตอร์” บินชม Twelve Apostles ตลอดแนวทางกว่า 20 กิโลเมตร ภายใน 20 นาที สนนราคาขึ้นต่อรอบหัวละ 7,000 บาท หรือถ้าจะเหินฟ้าบินชมเต็มเส้นทางก็ต้องจ่ายหนักหน่อยถึง 13,000 บาทต่อรอบ

Twelve Apostles คือ เสาหินปูนที่เกิดจากการกัดเซาะหน้าผาหินของลมและคลื่นมหาสมุทรจนกลายเป็นถ้ำ จากนั้นส่วนเพดานของถ้ำพังทลายลงมาจนเหลือแต่เสาหินปูนขนาดใหญ่ 9 ต้น ซึ่งขณะนี้เหลือ 8 ต้นแล้ว มีแนวโน้มจะโดนคลื่นซัดกร่อนแล้วผุพังไปตามกาลเวลา ใครมีโอกาสควรรีบมา

วินาทีที่เฮลิคอปเตอร์เหินฟ้า เพื่อนร่วมทางถึงกับร้อง “สวยมาก” ช่างยิ่งใหญ่ อลังการ และเหลือเชื่อในวิถีธรรมชาติ ที่เนรมิตความงดงามแบบนี้ออกมา ถ้ามาช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ที่ท้องฟ้าเป็นสีครามด้วย ตัดกับเสียงม้วนของเกลียวคลื่น รับหน้าด้วยเสาหินขนาดยักษ์ การได้มาเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ต้องบอกเลยว่าชีวิตนี้คุ้มค่าแล้ว

เมลเบิร์น ถือเป็นเมืองที่น่าเที่ยว-น่าอยู่ สมคำยืนยัน แม้จะเป็น ช่วงเวลาสั้นๆ แต่หากมีโอกาสได้กลับมาเยือนอีกครั้ง บอกเลยว่า “พร้อมมาก”

หากใครหาที่เที่ยว แนะนำให้ปักหมุดที่นี่ได้เลย ไม่ผิดหวังแน่นอน

พรเทพ อินพรหม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน