มหกรรมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ประจำปีของค่ายแอปเปิ้ล ผู้พัฒนาสินค้าไอทีชั้นพรีเมียมยอดนิยมจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพิ่งผ่านไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ปีนี้มาในสโลแกน “Wonderlust” จัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่เมือง คูเปอร์ติโน มหานครกลางซิลิคอนวัลเลย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ท่ามกลางสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์ร่วมงานคับคั่ง

พระเอกของงานหนีไม่พ้น iPhone 15 series เปิดตัวทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ที่ยังคงธรรมเนียมเดิมของการนำชิพ รุ่นท็อปของปีก่อนมาใช้ (A16 Bionic)

ขณะที่ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max แน่นอนว่าใช้ชิพตัวใหม่อย่าง Apple A17 Pro ถือเป็น ครั้งแรกที่ทางแอปเปิ้ลใช้คำว่า Pro ในชิพประมวลผลของตัวเอง

นอกเหนือจากนี้รุ่น Pro และ Pro Max ยังใช้วัสดุใหม่อย่างไทเทเนียมบริเวณขอบเครื่อง แทนที่จะใช้สแตนเลสแบบรุ่นที่ ผ่านๆ มา ไทเทเนียมมีคุณสมบัติน้ำหนักเบาและทนทานกว่า สแตนเลส หรือเหล็กกล้า

หน้าจอ iPhone 15 ทุกรุ่นมีความสว่างมากถึง 2,000 นิต (nit) และที่ธรรมดาแต่พิเศษสุด คือ การเปลี่ยนช่องข้อมูลและชาร์จจาก Lightning มาเป็น USB-C อย่างพร้อมเพรียง








Advertisement

คาดว่าเป็นผลจากที่สหภาพยุโรป หรืออียู ผ่านกฎหมายบังคับให้อุปกรณ์ไอทีทุกชนิดที่ใช้ภายในอียู ต้องรองรับมาตรฐาน USB-C ภายในปี 2567 โดยให้เหตุผลว่าช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และ ลดค่าใช้จ่ายให้ผู้บริโภค

อย่างไรก็ดี อัตราการถ่ายโอนข้อมูลของ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus จะช้ากว่ารุ่น Pro และ Pro Max เนื่องจากเป็นมาตรฐาน USB 2.0 มีอัตราโอนถ่ายข้อมูลสูงสุดไม่เกิน 480 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps)

ขณะที่รุ่นพี่อย่าง Pro และ Pro Max เป็นมาตรฐาน USB 3.0 ที่มีอัตราการโอนถ่ายข้อมูลสูงสุดถึง 10 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) หรือเท่ากับประมาณ 10,000 Mbps

iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ที่ได้รับการออกแบบมาด้วยไทเทเนียม เกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศที่ทั้งแข็งแกร่งและเบา ดีไซน์ใหม่ดังกล่าว ยังมาพร้อมขอบมนและปุ่มแอ๊กชั่นปรับแต่งได้

การอัพเกรดกล้องที่ทรงพลังมอบคุณสมบัติเทียบเท่าเลนส์ระดับโปร 7 ตัว ให้คุณภาพของภาพอันน่าทึ่ง

ระบบกล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล (MP) รองรับค่าเริ่มต้นความละเอียดสูงเป็นพิเศษแบบใหม่ที่ 24 MP และยังรองรับการ ถ่ายภาพบุคคลเจเนอเรชั่นถัดไป ที่มีคุณสมบัติการควบคุมโฟกัสและระยะชัดลึก

ปรับปรุงโหมดกลางคืนและ HDR อัจฉริยะ และยังมีกล้อง เทเลโฟโต้ 5 เท่าแบบใหม่หมดเฉพาะใน iPhone 15 Pro Max เท่านั้น

นอกจากนี้ ชิพ A17 Pro ยังปลดล็อกประสบการณ์การเล่นเกม และประสิทธิภาพระดับโปรให้เหนือไปอีกขั้น เช่นเดียวกับขั้วต่อ USB-C มาพร้อมกับไฟล์วิดีโอรูปแบบใหม่ที่มอบเวิร์กโฟลว์ระดับโปรในแบบไม่เคยมีมาก่อน

กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 15 Pro ยังมีคุณสมบัติเพิ่มเติมอย่างบริการช่วยเหลือบนท้องถนนผ่านดาวเทียม ที่พัฒนาขึ้นบนโครงข่ายดาวเทียมอันทันสมัยของ Apple เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ ในกรณีรถมีปัญหา เมื่ออยู่ในพื้นที่อับสัญญาณโทรศัพท์

สําหรับ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max พร้อมวางจำหน่าย 4 สีใหม่โดนใจ ได้แก่ ไทเทเนียมดำ ไทเทเนียมขาว ไทเทเนียมน้ำเงิน และไทเทเนียมธรรมชาติ สั่งซื้อล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา และวางจำหน่ายวันที่ 22 ก.ย.นี้

iPhone 15 Pro สนนราคาเริ่มต้นที่ 41,900 บาท มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ความจุ 128 กิกะไบต์ (GB), 256 GB, 512 GB และ 1 เทราไบต์ (TB) ส่วน iPhone 15 Pro Max ราคาเริ่มต้นที่ 48,900 บาท มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ความจุ 256 GB, 512 GB และ 1 TB

รุ่นถัดมา iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ความแตกต่างระหว่างสองรุ่น ยังเป็นขนาดหน้าจอ แต่มาพร้อมกระจกแต่งสีด้านหลังตัวเครื่องครั้งแรกในอุตสาหกรรมที่มีผิวด้านสวยงาม และขอบมนแบบใหม่บนตัวเครื่องอะลูมิเนียม

ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อม Dynamic Island และระบบกล้องสุดล้ำ ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ถ่ายภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์ทุกช่วงเวลาสำคัญของชีวิต

กล้องหลัก 48 MP ที่ทรงพลัง ทำให้ถ่ายภาพได้ที่ความละเอียด สูงเป็นพิเศษ และตัวเลือกเทเลโฟโต้ 2 เท่าใหม่ ที่ให้การซูมแท้ หรือออพติคอล ซูม แก่ผู้ใช้ถึง 3 ระดับ เสมือนมีกล้องตัวที่ 3

ผลิตภัณฑ์ตระกูล iPhone 15 ยังนำเสนอภาพถ่ายบุคคลเจเนอเรชั่นถัดไป ช่วยให้การถ่ายภาพบุคคลทำได้ง่ายขึ้น เก็บรายละเอียดได้ครบถ้วนและให้ประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยที่ดี

ยังมีบริการช่วยเหลือบนท้องถนนผ่านดาวเทียม พัฒนาขึ้นบนโครงข่ายดาวเทียมทันสมัยของ Apple เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ในกรณีที่รถมีปัญหาเมื่ออยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ

ผนวกขุมพลังจากชิพ A16 Bionic ขั้วต่อ USB-C คุณสมบัติค้นหาตำแหน่งที่ตั้งจริง พร้อมความทนทานชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรม แอปเปิ้ลระบุว่า เป็นความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดของทั้ง iPhone 15 และ iPhone 15 Plus

iPhone 15 และ iPhone 15 Plus พร้อมวางจำหน่ายใน 5 สีใหม่สวยงามสะดุดตา ได้แก่ ชมพู เหลือง เขียว ฟ้า และดำ

กำหนดสั่งซื้อล่วงหน้าและวางจำหน่ายเหมือนรุ่น Pro และ Pro Max มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ 128 GB, 256 GB และ 512 GB สนนราคาเริ่มต้นที่ 32,900 บาท และ 37,900 บาท ตามลำดับ

ภายในงานแอปเปิ้ลยังเปิดตัว Apple Watch Series 9 และ Apple Watch Ultra 2 ด้วย โดยรุ่นหลังออกแบบมาเพื่อ ผู้ใช้ที่มีไลฟ์สไตล์ท้าทายสมบุกสมบัน มาพร้อมคุณสมบัติต่างๆ ที่ผู้ใช้จะชื่นชอบในรุ่น Ultra

รวมถึง SiP รุ่น S9 อันทรงพลังใหม่ คำสั่งนิ้ว “แตะสองครั้ง” อันน่าทึ่ง จอภาพสว่างที่สุดของ Apple ช่วงระดับความสูงที่เพิ่มขึ้น Siri ในตัว คุณสมบัติค้นหาตำแหน่งที่ตั้งจริงสำหรับ iPhone และความสามารถล้ำหน้าสำหรับการ ผจญภัยทางน้ำ

Apple Watch Ultra 2 ใช้ watchOS 10 ที่มีแอพพลิเคชั่นซึ่งได้รับการออกแบบใหม่ Smart Stack แบบใหม่ ประสบการณ์การปั่นจักรยานรูปแบบใหม่ และคุณสมบัติที่จะช่วยในการสำรวจที่แตกต่าง และหน้าปัด Modular Ultra ใหม่

นอกเหนือจากคุณสมบัติล้ำหน้าต่างๆ Apple Watch Ultra 2 ยังมีระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนาน 36 ชั่วโมงดังเดิมเมื่อใช้งานตามปกติ และสามารถใช้งานได้นานถึง 72 ช.ม. เมื่ออยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน

Apple Watch Ultra 2 มีให้ใช้ในขนาด 49 มิลลิเมตร และเป็นกลางทางคาร์บอนเมื่อจับคู่กับสายแบบ Trail Loop หรือ Alpine Loop แบบใหม่

สายแบบ Alpine Loop มีสีใหม่ให้เลือก (สีน้ำเงิน, สี indigo, สีมะกอก), Trail Loop (สีส้ม/เบจ, สีเขียว/เทา, สีน้ำเงิน/ดำ) และ Ocean Band (สีน้ำเงิน, สีส้ม) ซึ่งสายแบบ Apple Watch Trail Loop และ Alpine Loop แบบใหม่หมดเป็นกลางทางคาร์บอน และ มีวัสดุรีไซเคิลกว่าร้อยละ 30 สนนราคาที่ 31,900 บาท

ส่วน Apple Watch Series 9 มีจำหน่ายในขนาด 41 ม.ม. และ 45 ม.ม. ในสีสตาร์ไลต์ สีมิดไนต์ สีเงิน รุ่น (PRODUCT) RED และตัวเรือนอะลูมิเนียมสีชมพูใหม่ รวมถึงตัวเรือนสแตนเลสสตีล สีทอง สีเงิน และสีกราไฟต์

พร้อมเปิดตัวสายนาฬิกาแบบใหม่อย่าง FineWoven เป็นผ้าไมโครทวิล ทั้งหรูหราและทนทาน ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลจากผลิตภัณฑ์ใช้แล้วถึงร้อยละ 68 ซึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับหนัง

FineWoven เป็นผ้าที่ให้สัมผัสเหมือนหนังกลับ และมีให้เลือกทั้งแบบ Magnetic Link และ Modern Buckle ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป Apple จะไม่ใช้หนังในผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple อีกต่อไป รวมถึงสายนาฬิกาด้วย พร้อมสายโฉบเฉี่ยวที่แอปเปิ้ลร่วมกับแบรนด์ดังอย่าง Nike และ Hermes

Apple Watch Series 9 สนนราคาเริ่มต้นที่ 15,900 บาท และ Apple Watch SE ราคาเริ่มต้นที่ 9,490 บาท หรูหราจับใจเหล่าสาวกแอปเปิ้ลแน่นอน แต่ราคาอาจจะสะเทือนใจ อยู่บ้าง

ทีมข่าวสดไอที
ภาพ – รอยเตอร์/แอปเปิ้ล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน