ปิดฉากลงเรียบร้อยแล้วสำหรับมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 “หางโจวเกมส์” ซึ่งถือเป็นอีกทัวร์นาเมนต์ที่เจ้าภาพจีนทำออกมาได้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบทั้งในแง่ของผลการแข่งขันที่กวาดไปถึง 201 เหรียญทอง และระบบการบริหารจัดการที่ดูแลผู้มาเยือนเป็นอย่างดี แต่สำหรับประเทศไทยนั้น ทั้งผลงาน และเรื่องนอกสนามอื่นๆ ดูเหมือนจะมีเรื่องราวให้ต้องพูดถึง และทบทวนกันอีกพอสมควร

ทัพนักกีฬาไทยปิดจ๊อบเอเชียนเกมส์ครั้งนี้ด้วยผลงาน 12 เหรียญทอง 14 เหรียญเงิน 32 เหรียญทองแดง แม้เทียบจากเอเชียนเกมส์ 2018 ที่อินโดนีเซีย ที่คว้ามา 11 เหรียญทอง ทำให้ดูเหมือนว่าไทยมีผลงานที่ดีขึ้น แต่กระนั้นก็ยังต้องชั่งน้ำหนักดูว่าการส่งนักกีฬา 934 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าทุกครั้ง แถมยังมากกว่าเจ้าภาพจีน ที่ส่งนักกีฬาเพียง 884 คน กับงบประมาณมหาศาล 1,300 ล้านบาท ที่ทุ่มทุนไปในการเก็บตัวมันคุ้มค่ากันหรือไม่ หากเฉลี่ยด้วยจำนวนนี้แล้วดูเหมือนว่าไทยต้องลงทุนราว 108 ล้านบาท ต่อ 1 เหรียญทอง เลยทีเดียว

อีกทั้งเป้าหมายในครั้งนี้ก็มีการตั้งเป้าเอาไว้ที่ 15 เหรียญทอง การทำได้เพียง 12 เหรียญทอง แม้จะหย่อนไปหน่อย แต่ก็สามารถใช้คำว่า “ล้มเหลว” ได้เหมือนกัน หลายสมาคมกีฬาผลงานต่ำกว่าเป้าหมาย ไม่เป็นอย่างที่คาดกันไว้ แต่ขณะเดียวกันก็มีสมาคมที่สมควรแก่การชื่นชมเช่นกัน เพราะสามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมาย บางสมาคมกีฬาสร้างเซอร์ไพรส์ สร้างความสุขให้กับชาวไทย

ชัวร์ที่สุด และไร้เทียมทานที่สุดต้องยกให้ทัพ “ตะกร้อ” ทีมชาติไทย ทั้งชาย และหญิง ที่เก็บเรียบแบบเบ็ดเสร็จ 4 เหรียญทอง โดยที่ไม่เสียเซ็ตให้กับทีมใดเลยทั้งทีมเดี่ยว ทีมชุด แม้จะเผชิญกับดราม่า ทั้งในและนอกสนาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผลงานดร็อปลงไป ถือเป็นการเดินหน้าสู่ยุคของ ธนา ไชยประสิทธิ์ นายกสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทยคนใหม่ อย่างสมเกียรติ

อีกหนึ่งกีฬาที่สร้างผลงานได้ดีไม่แพ้กันคือ “เทควันโด” โดยเฉพาะในรุ่น 49 กิโลกรัม ของ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ที่มีทั้งความสนุก ดราม่า เข้มข้น ลุ้นจนหยดสุดท้ายอย่างกับบทละครเรื่องหนึ่ง ก่อนที่สุดท้าย พาณิภัค นางเอกของประเทศไทย จะใช้ความมุ่งมั่นไล่เตะจนแซงเอาชนะเจ้าภาพคว้าเหรียญทองมาครอง ส่วนอีกเหรียญทองได้จาก “หยู” บัลลังก์ ทับทิมแดง ที่ไล่เตะใส่อิหร่านจนได้ใจแฟนกีฬาไทย แถมทัพจอมเตะยังมีอีก 2 ทองแดงติดมือเป็นของแถม

ขณะที่กอล์ฟก็ไม่น้อยหน้าใครกับผลงาน 2 เหรียญทอง ของ “โปรเปียโน” อาภิชญา ยุบล ซึ่งเป็นเหรียญแรกในประวัติศาสตร์ ในประเภทบุคคล และประเภททีม ซึ่งร่วมมือกับ “แพงกี้” แอลล่า แกลิทสกีย์ และ “โปรปลาย” พัชรจุฑา คงกระพันธ์ นอกจากนี้ยังมีอีก 1 เหรียญเงินทีมชาย นับเป็นผลงานที่ดีที่สุดในบรรดาทุกชาติที่เข้าร่วมเอเชียนเกมส์ครั้งนี้เลยทีเดียว

ส่วนเซอร์ไพรส์สุดต้องยกให้ทัพเรือใบกับวินด์เซิร์ฟ ที่ขับเคี่ยวกับชาติมหาอำนาจต่างๆ จนคว้ารวมกันมาได้ถึง 3 เหรียญทอง จาก “ดาว” ศิริพร แก้วดวงงาม ซึ่งเป็นเหรียญทองแรกในรอบกว่า 20 ปีของทัพวินด์เซิร์ฟไทย และเป็นเหรียญทองแรกของ “ดาว” ในเวที เอเชียนเกมส์ ส่วนเรือใบได้จาก ม.ล.เวฆา ภาณุพันธ์ และ นพภัสสร ขุนบุญจันทร์ 2 ดาวรุ่งความหวังใหม่

อีกเหรียญที่แม้จะไม่ใช่เหรียญทองแต่ก็น่าชื่นชมคือ เหรียญทองแดงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมเทเบิลเทนนิสหญิง โดยทีมชุดนี้ประกอบด้วย “หญิง” สุธาสินี เสวตรบุตร, “ทิพย์” อรวรรณ พาระนัง, “แตงโม” ธมลวรรณ เขตต์เขื่อน, “บัว” จิณห์นิภา เสวตรบุตร และ “การ์ตูน” วรรณวิสาข์ เอื้อวิริยะโยธิน ซึ่งชื่อของพวกเธอจะต้องถูกจารึกไว้แน่นอน

นอกจากนี้ยังมีกีฬาอื่นๆ ที่ทำผลงานได้น่าประทับใจทั้ง ขี่ม้า ที่ตั้งเป้า 2 ทองแดง ทำได้ 1 เงิน 1 ทองแดง, จักรยาน ตั้งเป้า 1 ทองแดง ทำได้ 1 เงิน 1 ทองแดง, อีสปอร์ต ตั้งเป้า 1 ทอง 1 เงิน ทำได้ 1 ทอง 1 เงิน 1 ทองแดง

อย่างไรก็ตามนี่คือส่วนของความสำเร็จ แต่ส่วนที่ทำผลงานได้ต่ำกว่าเป้าหมายนั้นมีมากกว่า ซึ่งที่เป็นดราม่ากันยกใหญ่ ก็เห็นจะไม่พ้นกรีฑา

จริงๆ ทัพกรีฑา พอมีผลงานอยู่บ้างกับ 2 เหรียญเงินที่ทำได้จาก วิ่ง 4×100 เมตร หญิง ที่ก็เป็นเหรียญเงินในรอบ 21 ปี และเหรียญเงินวิ่ง 100 เมตร ชาย ของ “บิว” ภูริพล บุญสอน ที่ทำได้ในรอบ 25 ปี ซึ่งถือว่าไม่เลว หากแต่มาโดนดราม่ากลบความสำเร็จจนหมด โดยแฟนกีฬามองว่าเป็นความผิดพลาด (สมาคมมองว่าเป็นแผน) ที่พยายามให้ “บิว” ภูริพล และ “ต้า” สรอรรถ ดาบบัง เซฟแรงไว้ในการวิ่ง 200 เมตร เพื่อทุ่มพลังกับการวิ่ง 4×100 เมตรชาย แต่สุดท้ายผลงานไม่เป็นไปตามเป้า ทั้งยังมีเรื่องของ คีริน ตันติเวทย์ ที่บินมาตั้งไกล ก่อนจะแจ้งว่าเจ็บ ต้องถอนตัวจากการแข่งขัน

ขณะที่ มวยสากล กีฬาที่เป็นความหวังเหรียญทองมาแต่ไหนแต่ไร ก็พลาดเหรียญทองเป็นครั้งที่ 2 โดยคว้ามาได้ 3 เงิน 4 ทองแดง แต่โชคดียังมีโควตาโอลิมปิกเกมส์ติดมาด้วย 4 คน ทำให้ยังถือว่าพอรับได้

อีกหนึ่งชนิดกีฬาที่ไม่พูดถึงเป็นไม่ได้ คือกีฬามหาชนอย่าง “ฟุตบอล” ที่แฟนกีฬาอาจจะส่ายหัวตั้งแต่เห็นรายชื่อ เห็นการ เตรียมทีม แทบจะเป็นกีฬาชนิดเดียวเลยที่โดนกระแสโจมตีตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่งขัน แต่การผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมได้สำเร็จ ด้วยสภาพทีมที่ต้องย้ำว่าเป็นชุด 3 หรือ 4 ในรุ่นอายุนี้ กับฟอร์มที่ออกมาทั้งหมด มองว่าไม่ขี้เหร่ แถมน่าชื่นชมด้วยซ้ำในความมุ่งมั่น ส่วนเรื่องการบริหารจัดการว่าทำไมสภาพทีมถึงออกมาเป็นแบบนั้น ก็ค่อยไปไล่เรียงกันอีกที

ส่วนกีฬาอื่นๆ ที่ต่ำกว่าเป้า บาสเกตบอล ตั้งเป้า 1 ทองแดง แต่ไม่ได้เหรียญ, เรือพาย ตั้งเป้า 1 ทอง 2 เงิน 5 ทองแดง ทำได้ 2 เงิน 4 ทองแดง, กาบัดดี้ ตั้งเป้า 1 ทอง 1 ทองแดง แต่ไม่ได้เหรียญ, ยิงปืน ตั้งเป้า 2 ทอง แต่ไม่ได้เหรียญ, ยูยิตสู ตั้งเป้า 1 ทอง 1 เงิน 1 ทองแดง ได้ 2 ทองแดง, ปีนหน้าผา ตั้งเป้าเหรียญใดเหรียญหนึ่ง แต่ไม่ได้เหรียญ, วูซู ตั้งเป้าได้เหรียญใดเหรียญหนึ่ง แต่ไม่ได้เหรียญ, ซอฟต์เทนนิส ตั้งเป้า 1 ทองแดง แต่ไม่ได้เหรียญ, สควอช ตั้งเป้า 1 ทองแดง แต่ไม่ได้เหรียญ, ยูโด ตั้งเป้า 3 ทองแดง แต่ไม่ได้เหรียญ, มวยปล้ำ ตั้งเป้าเหรียญใดเหรียญหนึ่ง แต่ไม่ได้เหรียญ, ว่ายน้ำ ตั้งเป้าทีมโปโลน้ำหญิงได้เหรียญใดเหรียญหนึ่ง แต่ไม่ได้เหรียญ, ฟันดาบ ตั้งเป้าเหรียญจากเซเบอร์ชาย แต่ไม่ได้เหรียญ, ลีลาศ ตั้งเป้า 1 ทองแดง แต่ไม่ได้เหรียญ, วอลเลย์บอล ตั้งเป้า 2 ทองแดง ได้ 1 ทองแดง, รักบี้ ตั้งเป้า 1 ทองแดง แต่ไม่ได้เหรียญ, แฮนด์บอล ตั้งเป้า 1 ทองแดง แต่ไม่ได้เหรียญ, คริกเก็ต ตั้งเป้า 1 ทองแดง แต่ไม่ได้เหรียญ, คูราช ตั้งเป้า 1 เงิน 2 ทองแดง ได้ 2 ทองแดง, เอ็กซ์ตรีม ตั้งเป้า 2 ทอง ได้ 1 ทองแดง

ทั้งความสำเร็จ และความล้มเหลวที่เกิดขึ้นใน “หางโจวเกมส์” คงนำมาต่อยอดได้เป็นอย่างดีกับโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และ ซีเกมส์ 2025 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ เผลอๆ อาจรวมไปถึงเอเชียนเกมส์ 2026 ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย อยู่ที่ว่าจะเรียนรู้กับมันได้มากน้อยแค่ไหน หรืองบประมาณที่สูญเสียไปมหาศาลจะทำอย่างไรให้ได้รับความสำเร็จที่สมน้ำสมเนื้อกลับมาอันนี้น่าคิด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน