วันที่ 10 ต.ค. บีบีซีรายงานสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางว่า อิสราเอลจะใช้กำลังมหาศาลต่อต้านกลุ่มติดอาวุธฮามาส โดยนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลเตือนว่า การตอบโต้เอาคืนของกองทัพอิสราเอล หรือไอดีเอฟ ต่อการโจมตีครั้งเลวร้ายที่สุดบนแผ่นดินอิสราเอลในรอบหลายสิบปี เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากทั้งอิสราเอลและกาซ่าเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1,500 ศพ

รายงานระบุว่ายอดผู้เสียชีวิตฝั่งอิสราเอลเพิ่มเป็น 900 ศพแล้ว นับตั้งแต่การโจมตีสายฟ้าแลบเมื่อวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา รวมถึงประชาชนถูกนักรบติดอาวุธฮามาสสังหารหมู่ 260 คนในเทศกาลดนตรี และมีประชาชนหลายร้อยคนถูกลักพาตัวโดยกลุ่มฮามาส ทำให้ครอบครัวตามหาข้อมูลข่าวสารสมาชิกในครอบครัวอย่างสิ้นหวัง ด้านนายโยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอิสราเอลระบุก่อนหน้านี้ สั่งการให้ปิดล้อมฉนวนกาซ่า โดยตัดขาดเสบียงอาหาร เชื้อเพลิง ไฟฟ้า รวมถึงการลำเลียงน้ำ ด้านนายจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาวระบุว่า สหรัฐไม่มีแผนจะส่งกองทัพไปยังอิสราเอล แต่จะคุ้มครองผลประโยชน์ของสหรัฐในภูมิภาค และว่าอิสราเอลได้ร้องขอความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งสหรัฐจะพยายามเติมเต็มโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขกาซ่าระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตฝั่งปาเลสไตน์จากการโจมตีทางอากาศเพิ่มขึ้นเป็น 687 ศพ ในจำนวนนี้เป็นเด็กอย่างน้อย 140 ราย และบาดเจ็บอีก 3,700 คน รวมถึงไร้ที่อยู่ราว 120,000 คน โดยไปหลบภัยในโรงเรียนราว 70,000 คน ซึ่งกองพลอัลกัสเซ็ม หน่วยกองกำลังฮามาสขู่จะสังหารตัวประกันได้ทุกเมื่อหากอิสราเอลโจมตีทางอากาศโดยไม่เตือนพลเรือนก่อน “ศัตรูไม่เข้าใจภาษาของมนุษยชาติและศีลธรรม ฉะนั้น เราจะแก้ไขสิ่งเหล่านี้ในภาษาที่พวกเขาเข้าใจ”กองพลอัลกัสเซ็มระบุและว่าจะไม่เจรจาจนกว่าการสู้รบจะสิ้นสุด ด้านการอพยพพลเรือนนั้นมีหลายชาติเริ่มทยอยอพยพพลเมืองกลับประเทศแล้ว อาทิ โปแลนด์ 1 เที่ยวบิน จำนวน 120 คน และฮังการี 2 เที่ยวบิน จำนวน 215 คน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน